ข้อเสนอเบื้องต้นของขบวนผู้หญิงปฏิรูปประเทศไทย (WeMove)
:
“ สิทธิเสรีภาพของบุคคล ชุมชน
ความเสมอภาคในศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ การไม่ถูกเลือกปฏิบัติ และการมีส่วนร่วมตัดสินใจของประชาชนทุกเพศในทุกมิติทุกระดับ
ต้องเป็นหลักพื้นฐานสำคัญที่สุดของรัฐธรรมนูญ”
..................................................
ขบวนผู้หญิงปฏิรูปประเทศไทย(WeMove) สมาคมติดตามการพัฒนาสตรีในประเทศไทย
(ตพส.ไทย) โครงการสตรีและเยาวชนศึกษา มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ จัดเวที“เสียงประชาชนต่อการร่างรัฐธรรมนูญ”
ซึ่งมาจาก ทุกภาคทั่วประเทศในวันเสาร์ที่ ๓๐ และวันอาทิตย์ที่ ๓๑ มกราคม ๒๕๕๙
ที่รัฐสภา สนับสนุนโดย UN Women และ องค์กรอื่นๆ ด้วยเจตนารมณ์ที่มุ่งหวังให้สังคมไทยมีการเปลี่ยนผ่านช่วงแห่งความขัดแย้งและสถานการณ์การเมือง
ที่ชะงักงัน เพื่อก้าวต่อไปสู่ระบอบประชาธิปไตยและการปฏิรูปประเทศที่มีประชาชนทุกเพศทุกวัยเป็นศูนย์กลาง โดยมีรัฐธรรมนูญอันเป็นกฎหมายสูงสุดเป็นที่ยอมรับของประชาชน
ประชาชนมีความมุ่งมั่นที่ชัดเจนว่า
ต้องการ รัฐธรรมนูญที่พัฒนาให้ดีขึ้นกว่าเดิม ควรต้องให้ดีกว่ารัฐธรรมนูญ
ปี ๒๕๔๐ และ ๒๕๕๐ หลังจากการรับฟังและวิเคราะห์ร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่แล้ว ขบวนผู้หญิงปฏิรูปประเทศไทย(WeMove) สมาคมติดตามการพัฒนาสตรีในประเทศไทย
(ตพส.ไทย) โครงการสตรีและเยาวชนศึกษา มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ มีข้อเสนอเบื้องต้นต่อร่างรัฐธรรมนูญ ดังนี้
๑)
ในบททั่วไปซึ่งเป็นเจตนารมณ์ชี้นำต่อรัฐธรรมนูญทั้งฉบับ มาตรา ๔ :“ปวงชนชาวไทยย่อมได้รับความ คุ้มครองตามรัฐธรรมนูญเสมอกัน”นั้น ได้เปลี่ยนแปลงหลักการสำคัญอย่างยิ่งจากรัฐธรรมนูญปี
๒๕๔๐ และ๒๕๕๐ : “ศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์
สิทธิเสรีภาพ และความเสมอภาคของบุคคล ย่อมได้รับความคุ้มครอง” ซึ่งประชาชนและ สถาบันต่างๆในสังคมไทยได้มีกระบวนการเรียนรู้ความหมายของการเคารพศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ จนมีพัฒนาการ ที่หยั่งรากลึกเป็นจิตวิญญาณ เป็นวัฒนธรรม
และได้ดูแลบุคคลทุกกลุ่ม ที่อยู่ในประเทศไทยโดยไม่จำกัดเฉพาะผู้ที่มี สัญชาติไทย ดังนั้นจึงมีความหมายและความจำเป็นอย่างยิ่ง
ที่จะต้องนำ มาตรา ๔ เดิมคืนมา รวมทั้งเพิ่มมาตรา ๕ (เดิม) “ประชาชนชาวไทย ไม่ว่าเหล่ากำเนิด เพศ หรือศาสนาใด
ย่อมอยู่ในความคุ้มครองแห่งรัฐธรรมนูญนี้เสมอกัน”
๒)
การบัญญัติถึงความผูกพันของประเทศไทยต่อกติกาและอนุสัญญาระหว่างประเทศที่ประเทศไทยเป็นภาคี
ซึ่งรัฐธรรมนูญปี ๒๕๔๐ และ ๒๕๕๐ ได้บัญญัติไว้
เช่น ในอำนาจหน้าที่ของคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ “...ในการตรวจสอบและรายงานการกระทำหรือการละเลยการกระทำ
อันเป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชน หรือไม่เป็นไป ตามพันธกรณีระหว่างประเทศเกี่ยวกับสิทธิมนุษยชนที่ประเทศไทยเป็นภาคี...” รวมถึงรัฐธรรมนูญ ชั่วคราวแห่งราชอาณาจักรไทย
พ.ศ. ๒๕๕๗ ได้มีการบัญญัติไว้ในมาตรา ๔
แต่ในร่างฉบับนี้ไม่มีบทบัญญัติดังกล่าว ๓) ต้องมีหลักประกันในการคุ้มครองการใช้สิทธิและเสรีภาพ
รวมทั้งในการตรากฎหมายที่จำกัดสิทธิเสรีภาพ
๓.๑)
ในมาตรา ๒๕ และมาตรา ๒๖
ของร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ยังมีความไม่ชัดเจนในหลักทั่วไปนี้ ขอเสนอให้บัญญัติข้อความที่ชัดเจน
โดยพิจารณาจากมาตรา ๒๖ มาตรา ๒๗ มาตรา ๒๘ และมาตรา ๒๙ ตามรัฐธรรมนูญ ๒๕๔๐ และ ๒๕๕๐
อาทิ
“มาตรา ๒๘ บุคคลย่อมอ้างศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์หรือใช้สิทธิและเสรีภาพของตนได้เท่าที่ไม่ละเมิดสิทธิ
และเสรีภาพของบุคคลอื่น ไม่เป็นปฏิปักษ์ต่อรัฐธรรมนูญ
หรือไม่ขัดต่อศิลธรรมอันดีของประชาชน
บุคคลซึ่งถูกละเมิดสิทธิหรือเสรีภาพที่รัฐธรรมนูญนี้รับรองไว้สามารถยกบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญนี้เพื่อใช้สิทธิทางศาลหรือยก้เป็นข้อต่อสู้คดีในศาลได้
บุคคลย่อมสามารถใช้สิทธิทางศาลเพื่อบังคับให้รัฐต้องปฏิบัติตามบทบัญญัติในหมวดนี้โดยตรง
หากการใช้สิทธิและเสรีภาพในเรื่องใดมีกฎหมายบัญญัติรายละเอียดแห่งการใช้สิทธิและเสรีภาพตามที่รัฐธรรมนูญนี้รับรอไว้แล้ว
ให้การใช้สิทธิและเสรีภาพในเรื่องนั้นเป็นไปตามที่กฎหมายบัญญัติ
บุคคลย่อมมีสิทธิได้รับการส่งเสริม สนับสนุน
และช่วยเหลือจากรัฐ ในการใช้สิทธิตามหมวดนี้”
๓.๒)
ร่างรัฐธรรมนูญฉบับนี้ได้นำบทบัญญัติส่วนใหญ่เรื่องสิทธิเสรีภาพของบุคคล
และ ชุมชน ไปบัญญัติไว้ในหมวด ๕ “หน้าที่ของรัฐ” ซึ่งเป็นฐานคิดที่ขัดแย้งกับความมุ่งหวังของประชาชนที่ต้องการให้บัญญัติ
เป็นสิทธิเสรีภาพ อันจะก่อให้เกิดความคุ้มครองและมีผลผูกพันโดยตรงต่อรัฐสภา
คณะรัฐมนตรี ศาล รวมถึงองค์กร ตามรัฐธรรมนูญ
และหน่วยงานของรัฐ ในการตรากฎหมาย การบังคับใช้กฎหมาย
และการตีความกฎหมายทั้งปวง
และเป็นหลักประกันให้ประชาชนสามารถอ้างสิทธิต่างๆนี้ในการผลักดันให้เกิดการปฏิบัติตามสิทธิ ทั้งนี้ การตระหนัก และปกป้องสิทธิของประชาชนเป็นหลักประกันพื้นฐานของการตรวจสอบการใช้อำนาจรัฐในทุกมิติและทุกระดับ
รวมถึงการมีจิตสำนึกที่จะเคารพและไม่ละเมิดต่อสิทธิเสรีภาพของบุคคลอื่นด้วย
ดังนั้น จึงควรที่จะนำบทบัญญัติเรื่องสิทธิเสรีภาพในรัฐธรรมนูญ๒๕๔๐
และ ๒๕๕๐ มาอยู่ใน
หมวดสิทธิเสรีภาพ และปรับปรุงเนื้อหาให้ดีกว่าเดิม โดยอาจบัญญัติควบคู่เป็นหน้าที่ของรัฐ
หรือแนวนโยบาย พื้นฐานแห่งรัฐด้วย
๓.๓)
ในหมวด ๖ แนวนโยบายแห่งรัฐ มาตรา ๖๐
ที่บัญญัติว่า... “เป็นแนวทางให้รัฐดำเนินการ ตรากฎหมายและกำหนดนโยบายในการบริหารราชการแผ่นดิน
ไม่ก่อให้เกิดสิทธิในการฟ้องรัฐ” มีผลให้หมวดแนว
นโยบายพื้นฐานแห่งรัฐไม่มีนัยสำคัญใดๆที่ผูกพันรัฐ จึงขอเสนอให้ใช้ตามรัฐธรรมนูญเดิม :
“มาตรา
๘๕...ในการแถลงนโยบายต่อรัฐสภา คณะรัฐมนตรีที่จะเข้าบริหารราชการแผ่นดินต้องชี้แจง
ต่อรัฐสภาให้ชัดแจ้งว่า จะดำเนินการใด ในระยะเวลาใด
เพื่อบริหารราชการแผ่นดินให้เป็นไปตามแนวนโยบายพื้นฐาน แห่งรัฐ
และต้องจัดทำรายงานแสดงผลการดำเนินการ รวมทั้งปัญหาและอุปสรรค
เสนอต่อรัฐสภาปีละหนึ่งครั้ง”
๔) ประเด็นห่วงใยในมิติความเสมอภาคระหว่างเพศ
และความเสมอภาคด้านอื่น ซึ่งเป็นหลักการที่ปรากฏ อยู่ในรัฐธรรมนูญปี ๒๕๔๐ และปี
๒๕๕๐ และได้ขาดหายไป เช่น ๔.๑)ความเสมอภาคและการไม่ถูกเลือกปฏิบัติที่ไม่เป็นธรรมในมาตรา
๒๗ ซึ่งตัดทอนเหตุแห่งความแตกต่าง ๑๒
ประการในมาตรา ๓๐ เดิม ซึ่งเป็นมาตราหลักที่สำคัญเรื่องความเสมอภาคของคนหลากหลายกลุ่ม จึงควรที่จะ บัญญัติตามเดิม และควรเพิ่ม“การคุ้มครองสิทธิของบุคคลทุกเพศสภาพ” นอกจากนี้ มาตรการที่รัฐกำหนด ขึ้นเพื่อ ขจัดอุปสรรคหรือส่งเสริมให้บุคคลสามารถใช้สิทธิและเสรีภาพได้เช่นเดียวกับบุคคลอื่น
จะมีความหมายกว้างไปถึง ทุกกลุ่มมากกว่าการกำหนดเฉพาะเจาะจง “...ให้แก่เด็ก
สตรี ผู้สูงอายุ หรือผู้ด้อยโอกาส ...” จึงขอเสนอดังนี้:
“บุคคลย่อมเสมอกันตามกฎหมายและได้รับความคุ้มครองตามกฎหมายเท่าเทียมกัน หญิง ชาย และบุคคลทุกเพศสภาพ มีสิทธิเท่าเทียมกัน การเลือกปฏิบัติโดยไม่เป็นธรรมต่อบุคคลเพราะเหตุแห่งความแตกต่างในเรื่องถิ่นกำเนิด
เชื้อชาติ ชาติพันธุ์ ภาษา เพศ เพศสภาพ
อายุ ความพิการ สภาพทางกายหรือสุขภาพ สถานะของบุคคล ฐานะทางเศรษฐกิจหรือสังคม ความเชื่อทางศาสนา การศึกษาอบรม
หรือความคิดเห็นทางการเมืองอันไม่ขัดต่อบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญ จะกระทำมิได้ มาตรการที่รัฐกำหนดขึ้นเพื่อขจัดอุปสรรคหรือส่งเสริมให้บุคคลสามารถใช้สิทธิและเสรีภาพได้เช่นเดียวกับบุคคลอื่น
ย่อมไม่ถือเป็นการเลือกปฏิบัติโดยไม่เป็นธรรม”
๔.๒)
สิทธิในกระบวนการยุติธรรม ซึ่งประชาชนต้องการสิทธิพื้นฐานนี้อย่างยิ่ง
เพราะประกัน ความยุติธรรมต่อคนทุกกลุ่มทั้งที่มีสัญชาติไทย
และไม่มีสัญชาติไทย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง รัฐธรรมนูญ ๒๕๕๐ มาตรา
๔๐(๖) ได้บัญญัติชัดเจนว่า “ เด็ก
เยาวชน สตรี ผู้สูงอายุ หรือผู้พิการหรือทุพพลภาพ ย่อมมีสิทธิได้รับความคุ้มครอง ในการดำเนินกระบวนพิจารณาคดีอย่างเหมาะสม
และย่อมมีสิทธิได้รับการปฏิบัติที่เหมาะสมในคดีที่เกี่ยวกับ ความรุนแรงทางเพศ”
ข้อเสนอเพิ่มเติมคือ... “ในคดีที่เกี่ยวกับการถูกล่วงละเมิดทางเพศ
ความรุนแรงเพราะเหตุแห่งเพศ ตลอดจนป้องกันแก้ไขเยียวยาปัญหาความรุนแรงในครอบครัว โดยกระบวนการพิจารณาคดีต้องให้ผู้กระทำผิด
หรือจำเลยมีหน้าที่พิสูจน์ความบริสุทธิ์ของตนเอง...”
๔.๓)
สิทธิชุมชนในการจัดการทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ซึ่งเป็นเรื่องสำคัญมากในการ
ปกป้องคุณภาพชีวิตและสิ่งแวดล้อมของชุมชนและมีผลกระทบอย่างยิ่งต่อผู้หญิงในชุมชน ขอให้นำมาตรา ๕๗ มาตรา ๖๖ และมาตรา ๖๗ ในรัฐธรรมนูญ
ปี ๒๕๔๐และปี ๒๕๕๐ ที่ต้องมีองค์กรอิสระสิ่งแวดล้อมและสุขภาพ
๔.๔)
หลักการกระจายอำนาจสู่ท้องถิ่นและชุมชนซึ่งมีทิศทางการปฏิรูปในภาพรวมชัดเจนว่า “ต้องลดอำนาจรัฐส่วนกลาง
เพิ่มอำนาจประชาชนและท้องถิ่น” โดยเฉพาะอย่างยิ่งความเป็นอิสระ รัฐกำกับดูแล เท่าที่จำเป็น และอำนาจขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในการเป็นหน่วยงานหลักในการจัดทำบริการสาธารณะ และการจัดการทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม รวมทั้งรัฐต้องสนับสนุนจังหวัดที่ประชาชนมีเจตนารมณ์ต้องการ
เป็นองค์การปกครองส่วนท้องถิ่นขนาดใหญ่ทั้งจังหวัดตามความพร้อมและตามเจตนารมณ์ของประชาชนในท้องถิ่นนั้น ขอให้ยึดหลักที่ผู้บริหารท้องถิ่นต้องมาจากการเลือกตั้ง
โดยคณะผู้บริหารท้องถิ่นต้องมีสัดส่วนหญิงชายที่เท่าเทียมกัน
๔.๕) สิทธิในสวัสดิการสังคมที่เคยบัญญัติในหมวดสิทธิเสรีภาพ เช่น
การศึกษา สาธารณสุข เด็ก เยาวชน สตรี ผู้สูงอายุ ผู้พิการ ฯลฯ
แต่ร่างใหม่นี้บัญญัติในหมวด “หน้าที่ของรัฐ” และไม่ครบถ้วน
ขอให้นำไป บัญญัติในหมวดสิทธิเสรีภาพเช่นเดิม โดยบางสิทธิจำเป็นต้องดูแลทุกคนที่อยู่ในประเทศไทย และต้องมีทิศทางการบริหารจัดการการคลังเพื่อสังคม
๔.๖)
สิทธิแรงงาน ไม่มีบทบัญญัติใดๆในหมวดสิทธิและเสรีภาพ
รวมทั้งการไม่บัญญัติถึงการผูกพัน และปฏิบัติตามพันธกรณีระหว่างประเทศที่ประเทศไทยเป็นภาคี
เพียงแต่มีในแนวนโยบายแห่งรัฐ
มาตรา ๗๐ : “รัฐพึงส่งเสริมให้ประชาชนมีความสามารถในการทำงานโดยเหมาะสมกับศักยภาพและวัย
และพึงคุ้มครองผู้ใช้ แรงงานให้ได้รับความปลอดภัยในการทำงาน โดยได้รับสวัสดิการ รายได้ และสิทธิประโยชน์อื่นที่เหมาะสมแก่การ ดำรงชีพ และพึงจัดให้มีหรือส่งเสริมการออมเพื่อการดำรงชีพเมื่อพ้นวัยทำงาน”
ขอให้เพิ่มเติมทั้งในหมวดสิทธิและแนวนโยบายพื้นฐานแห่งรัฐ
และปรับปรุงให้ดีกว่าเดิม อาทิ “มาตรา ๔๔(เดิม)บุคคลย่อมมีสิทธิได้รับหลักประกันความปลอดภัยและสวัสดิภาพในการทำงาน
รวมทั้งหลักประกัน ในการ ดำรงชีพทั้งในระหว่างการทำงาน และเมื่อพ้นภาวะการทำงาน..”
และ
มาตรา ๘๔(๗)(เดิม) “ส่งเสริมให้ประชากรวัยทำงานมีงานทำ
คุ้มครองแรงงานเด็กและสตรี จัดระบบ แรงงานสัมพันธ์และระบบไตรภาคีที่ผู้ทำงานมีสิทธิเลือกผู้แทนของตน รวมทั้งคุ้มครองให้ผู้ทำงาน ที่มีคุณค่าอย่าง เดียวกันได้รับค่าตอบแทนสิทธิประโยชน์และสวัสดิการที่เป็นธรรม
โดยไม่เลือกปฏิบัติ”
๔.๗)
สถาบันการเมืองและการตรวจสอบการใช้อำนาจรัฐ
มีข้อสังเกตว่า ร่างรัฐธรรมนูญฉบับนี้มุ่ง ปราบปรามและป้องกันการทุจริตโดยเน้นที่นักการเมืองเป็นสำคัญ ขณะที่การทุจริตในสังคมไทยมีความเชื่อมโยง และสลับซับซ้อน
ทั้งนักการเมือง ข้าราชการ และกลุ่มทุนขนาดใหญ่
ที่สำคัญคือการปราบปรามและป้องกันการ ทุจริตที่มีประสิทธิภาพที่สุด คือการส่งเสริมให้ประชาชนทุกกลุ่มมีความเข้มแข็งและมีบทบาทในการตรวจสอบ
การทุจริตทุกมิติทุกระดับ
กรณีคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ
ซึ่วเป็นองค์กรสำคัญในการส่งเสริมและคุ้มครองสิทธิ และเสรีภาพ
ขอเสนอให้ยืนยันองค์ประกอบของกรรมการที่ต้องคำนึงถึงผู้แทนจากองค์กรเอกชนด้านสิทธิมนุษยชน
และให้สำนักงานเป็นหน่วยงานที่เป็นอิสระในการบริหารงานบุคคล การงบประมาณ และการดำเนินการอื่น
ประเด็นที่สำคัญคือการขาดหายไปในอำนาจหน้าที่ เช่น ในการตรวจสอบที่ไม่เป็นไปตามพันธกรณี ระหว่างประเทศ
ที่ประเทศไทยเป็นภาคี
การเสนอเรื่องพร้อมความเห็นต่อศาลรัฐธรรมนูญ ศาลปกครอง และการฟ้อง คดีต่อศาลยุติธรรมแทนผู้เสียหาย
การส่งเสริมความร่วมมือและประสานงานกับองค์กรของรัฐและเอกชน และในกรณี ที่ไม่มีการดำเนินงานตามที่เสนอ ให้รายงานต่อรัฐสภาเพื่อดำเนินการต่อไป
๔.๘)
หลักความเสมอภาคระหว่างเพศซึ่งเป็นการจัดสรรปันส่วนอำนาจเพื่อความเสมอภาค
ต่อ เจ้าของอำนาจอธิปไตย ในฐานะที่ผู้หญิงมีจำนวนมากกว่าผู้ชายถึง ๒ ล้านคน ขบวนผู้หญิงปฏิรูปประเทศไทย (WeMove) ได้เสนอให้มีสัดส่วนการมีส่วนร่วมของผู้หญิงอย่างเท่าเทียมกันในการตัดสินใจในทุกมิติทุกระดับมาอย่าง
ต่อเนื่อง และให้บัญญัติไว้ในร่างรัฐธรรมนูญ
ทั้งในการส่งผู้สมัครบัญชีรายชื่อของพรรคการเมือง การกำหนด ผู้บริหารในองค์กรปกครองท้องถิ่น การสรรหากรรมการองค์กรอิสระ องค์กรตามรัฐธรรมนูญ และองค์กรต่างๆ คณะกรรมการระดับต่างๆของรัฐ รวมทั้งการมีส่วนร่วมของประชาชน ตามมาตรา
๘๗(เดิม)ในรัฐธรรมนูญ๒๕๕๐
ที่ให้มีส่วนร่วมตั้งแต่การกำหนดนโยบาย การวางแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคม
ทั้งในระดับชาติและระดับท้องถิ่น
การตัดสินใจทางการเมือง
การตรวจสอบการใช้อำนาจรัฐ การจัดตั้งกองทุนพัฒนาการเมืองภาคพลเมือง ฯลฯ โดยบัญญัติว่า “การมีส่วนร่วมของประชาชนตามมาตรานี้ต้องคำนึงถึงสัดส่วนของหญิงและชายที่ใกล้เคียงกัน”
นอกจากนี้ การจัดสรรงบประมาณที่เป็นเครื่องมือสำคัญนำไปสู่การจัดสรรทรัพยากรและบริหารงานภาครัฐ อย่างเสมอภาคและเป็นธรรมในสังคม
ต้องคำนึงถึงหลักความเสมอภาคระหว่างเพศ( Gender Budgeting )และความ เสมอภาคด้านอื่น อันเป็นหลักการสากลที่มีการดำเนินการในหลายประเทศ เพื่อสร้างความสมดุลและเป็นการป้องกัน ปัญหาความไม่เท่าเทียม
บทสรุป ขบวนผู้หญิงปฏิรูปประเทศไทย (WeMove) ขอเสนอหลักการสำคัญต่อร่างรัฐธรรมนูญใหม่ใน
เบื้องต้น และกำลังมีการจัดเวทีระดับภูมิภาคอย่างต่อเนื่อง ทั้งภาคเหนือ ภาคอีสาน และภาคใต้ รวมทั้งเวที ระดับชาติ ครั้งที่ ๒ เพื่อให้เรียนรู้และวิเคราะห์ร่วมกันถึงสาระสำคัญของร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ และเกิดความ ตระหนักร่วมกันในสังคมไทย ถึงความสำคัญของศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์
สิทธิเสรีภาพ และความเสมอภาคระหว่าง เพศ
โดยเฉพาะอย่างยิ่งการมีส่วนร่วมในการตัดสินใจทุกมิติทุกระดับ
และการขจัดความเหลื่อมล้ำ สร้างความเป็น ธรรมในสังคม เพื่อนำไปสู่การปรับปรุงแก้ไขร่างรัฐธรรมนูญ และทิศทางการปฏิรูปประเทศเพื่อประโยชน์สุข
ของประชาชนต่อไป
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น