วันอังคารที่ 17 พฤศจิกายน พ.ศ. 2558

ศึกษาประเด็การถกเถียงมาหลายปี เมื่ออบต.เปลี่ยนเป็นเทศบาล (สิทธิวิวาทะ)

การปฏิรูประบบประกันสังคม…เส้นทางที่คดเคี้ยวและสะดุดลง...โดย สุนี ไชยรส



การปฏิรูประบบประกันสังคม…เส้นทางที่คดเคี้ยวและสะดุดลง
                                                                                          สุนี ไชยรส(ไทยโพสต์

            สังคมไทยมีความพยายามพัฒนาแนวคิดและนโยบายในการจัดสวัสดิการสังคมมายาวนาน  โดยมีกฎหมาย เกี่ยวข้องหลายสิบฉบับ    รวมทั้งกฎหมายประกันสังคม ที่เริ่มขึ้นปี ๒๕๓๓  เพื่อหวังจะดูแลคุณภาพชีวิตพื้นฐาน ของคนในสังคมตั้งแต่เกิดจนตาย   แต่แนวคิดพื้นฐานและการดำเนินการของรัฐยังค่อนข้างกระจัดกระจายหลาย หน่วยงานและไม่ทั่วถึงครบถ้วนกลุ่มเป้าหมาย   แนวโน้มส่วนใหญ่เป็นการสงเคราะห์ต่อผู้ยากลำบาก ซึ่งยังจำกัด เฉพาะบางกลุ่ม  และมักถูกวิพากษ์วิจารณ์ว่าเป็นภาระมหาศาลของรัฐแต่ฝ่ายเดียว  โดยไม่มีทางที่จะทำได้ กว้างขวาง ทั่วถึงและเป็นธรรม  เนื่องจากข้อจำกัดของระบบภาษี   เงินงบประมาณ บวกกับปัญหาการทุจริต คอรัปชั่น ที่ฝังรากลึกทุกระดับในสังคมไทย
            อย่างไรก็ตาม  ระบบประกันสังคมของไทยที่ริเริ่มจากการผลักดันของแรงงาน นักวิชาการ ร่วมกับนายจ้าง และข้าราชการที่ก้าวหน้า  จนมี พ.ร.บ.ประกันสังคม พ.ศ.๒๕๓๓  นับเป็นความก้าวหน้าครั้งสำคัญของการสร้าง พื้นฐานระบบสวัสดิการสังคม  โดยมีเจตนารมณ์เฉลี่ยทุกข์เฉลี่ยสุข  และการร่วมมือจาก ๓ ฝ่าย คือนายจ้าง ลูกจ้าง และฝ่ายรัฐ  ทำให้มีระบบจ่ายเงินสมทบร่วมสามฝ่ายมาตั้งกองทุนประกันสังคม  มาดูแลสิทธิประโยชน์ที่พัฒนา ต่อมาถึงปัจจุบันใน ๗ กรณี  จนมีเงินทุนถึงกว่า ๑.๓ ล้านล้านบาท  และครอบคลุมผู้ประกันตนถึง ๑๓ ล้านคน            
            ต่อมา มีการเคลื่อนไหวรณรงค์ให้แก้ไขปรับปรุง พ.ร.บ.ประกันสังคม พ.ศ. ๒๕๓๓  มาอย่างต่อเนื่อง และเส้นทางคดเคี้ยวยาวนาน   โดยเฉพาะการเสนอร่างกฎหมายเข้าชื่อตามรัฐธรรมนูญ ๒๕๕๐ จำนวน ๑๔,๒๖๔ รายชื่อของขบวนแรงงานในปี ๒๕๕๓    และต่อมามีการพัฒนาร่วมกับหลายองค์กร  ข้อเสนอแนะที่สำคัญคือ            (๑)หลักความเป็นอิสระ   สถานะและโครงสร้างการบริหารด้านประกันสังคมจะต้องมีความเป็นอิสระ  เป็นนิติบุคคลภายใต้การกำกับของรัฐ ที่ไม่ใช่ส่วนราชการและรัฐวิสาหกิจ  ผู้บริหารกองทุนควรมาจากการสรรหา            (๒)หลักความครอบคลุม โดยขยายความครอบคลุมแรงงานผู้ทำงานทุกคนทั้งภาครัฐและเอกชน   ที่ผ่านมาเน้นแต่แรงงานในระบบ  ยังไม่ครอบคลุมแรงงานนอกระบบ  ผู้รับงานไปทำที่บ้าน  และการจ้างงานที่มี หลากหลายรูปแบบในสถานการณ์ ปัจจุบัน   หรือมีการคุ้มครอง  แต่ไม่ได้รับสิทธิประโยชน์เท่าเทียมกัน            (๓)หลักความโปร่งใสและมีส่วนร่วมของผู้ประกันตน โดยให้ผู้ประกันตนทุกประเภท และนายจ้าง มีสิทธิสมัครรับเลือกตั้งและใช้สิทธิเลือกตั้งกรรมการประกันสังคมฝ่ายตนได้โดยตรง  มีกรรมการบริหารการลงทุน  และคณะกรรมการตรวจสอบที่มีประสิทธิภาพ
            (๔)หลักยืดหยุ่น เป็นธรรม สอดคล้องกับภาวะเศรษฐกิจและสังคม  ในการออกระเบียบต่างๆและเกณฑ์การ จ่ายเงินสมทบ และสิทธิประโยชน์ของผู้ประกันตน            เส้นทางคดเคี้ยวยาวนาน และสะดุดลงหลายละลอกของการปฏิรูประบบประกันสังคม   เริ่มจากร่าง กฎหมายเข้าชื่อตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๕๐ ของขบวนแรงงานเมื่อปี ๒๕๕๓   และตกไปเมื่อมีการยุบสภาฯปี ๒๕๕๔   แต่ก็ยังได้รับการรับรองจากรัฐสภาให้นำมาพิจารณาต่อในปลายปีนั้น    อย่างไรก็ตาม กว่าที่รัฐบาล(สมัยคุณยิ่งลักษณ์ฯ) จะเสนอร่างกฎหมายประกันสังคมของรัฐบาล และนำเข้าสู่วาระ การพิจารณาของสภาผู้แทนราษฎรก็ผ่านไปจนถึง ๒๐ มีนาคม ๒๕๕๖  โดยมีร่างกฎหมายของพรรคการเมืองอีก สองฉบับประกบเข้าไปด้วย รวมฉบับของประชาชน เป็น ๔ ฉบับ            นั่นคือการสะดุดครั้งสำคัญในประวัติศาสตร์การพิจารณาร่างกฎหมายเข้าชื่อของประชาชนตามรัฐธรรมนูญ เมื่อสภาผู้แทนราษฎรมีมติไม่รับหลักการร่าง พ.ร.บ.ประกันสังคม ฉบับเข้าชื่อของขบวนแรงงาน  ทำให้ไม่สามารถ ได้รับสิทธิตามรัฐธรรมนูญและกฎหมายรับรอง  ในการมีผู้แทนเป็นกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างกฎหมาย ประกันสังคม จำนวน ๑ ใน ๓  ซึ่งสังคม  สื่อ และหลายองค์กรมีการวิพากษ์วิจารณ์เรื่องนี้อย่างมาก             แต่การพิจารณาร่างกฎหมายประกันสังคมของรัฐบาลนั้นก็ยุติลงปลายปี ๒๕๕๖ เมื่อมีการยุบสภาฯอีก              ขบวนแรงงานยื่นร่างกฎหมายฉบับเข้าชื่อนี้ฯให้รัฐบาลพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา อีกครั้งหนึ่งในวันที่  ๑๗ มิถุนายน ๒๕๕๗            แต่ในที่สุดรัฐบาลได้เสนอร่างกฎหมายประกันสังคมเข้าสู่สภานิติบัญญัติแห่งชาติเมื่อ ๓๑ ตุลาคม ๒๕๕๗  และผ่านสภานิติบัญญัติแห่งชาติวาระ ๓ เมื่อ ๕ มีนาคม ๒๕๕๘
            มีข้อเสนอจากขบวนผู้ประกันตนให้นำร่างกม.เข้าชื่อของประชาชนมาพิจารณาประกอบด้วย  แต่ไม่ได้ รับความสนใจ ...เท่ากับเป็นการสะดุดลงครั้งที่ ๒…  รัฐบาลพลาดโอกาสในการรับฟังความเห็นของผู้มีส่วนได้เสีย โดยตรงและโอกาสที่ดีในการร่วมมือกันปฏิรูประบบประกันสังคมอย่างจริงจัง...            แม้ว่าพ.ร.บ.ประกันสังคม พ.ศ.๒๕๕๘ ฉบับใหม่ที่ผ่านสภาจะยังไม่มีการปฏิรูปในประเด็นสำคัญคือ สถานะและโครงสร้างของการบริหารสำนักงานประกันสังคมที่เป็นอิสระ    แต่ก็ยังถือเป็นความหวังเบื้องต้น ของผู้ประกันตน   ที่บทบัญญัติในมาตรา ๘กำหนดไว้ในวรรค ๓ ว่า “ให้ผู้แทนฝ่ายนายจ้างและผู้แทนฝ่าย ผู้ประกันตนตามวรรคหนึ่งมาจากการเลือกตั้ง โดยคำนึงถึงการมีส่วนร่วมอย่างแท้จริงของฝ่ายนายจ้าง และฝ่ายผู้ประกันตน  สัดส่วนระหว่างหญิงและชาย รวมทั้งการมีส่วนร่วมอย่างมีประสิทธิผลของคนพิการ และผู้ด้อยโอกาส ทั้งนี้หลักเกณฑ์และวิธีการเลือกตั้ง เป็นไปตามระเบียบที่รัฐมนตรีกำหนด”   ซึ่งกระทรวงแรงงาน ได้แต่งตั้งคณะกรรมการร่างระเบียบต่างๆ และเตรียมจัดการเลือกตั้งตามกฎหมายกำหนดในเดือนเมษายน ๒๕๕๙ นี้ใกล้จะเสร็จแล้ว
            ผู้ประกันตน ๑๓ ล้านคน และกำลังมีทิศทางจะขยายครอบคลุมเพิ่มอีกตามกฎหมายใหม่ ควรอย่างยิ่งจะได้ ใช้สิทธิมีส่วนร่วมในการเลือกกรรมการกองทุน  ซึ่งกองทุนประกันสังคมเป็นกองทุนใหญ่ที่สุด ในประเทศไทย และมาจากการร่วมจ่ายทั้งของคนทำงาน  นายจ้าง และรัฐบาล  กองทุนประกันสังคมไม่ใช่กองทุนของรัฐ


            แต่ในที่สุดก็เกิดการสะดุดใหญ่ครั้งที่ ๓  เมื่อคสช.มีคำสั่งที่ ๔๐ /๒๕๕๘ ใช้อำนาจ ม.๔๔  เมื่อ ๕ พ.ย.๕๘ ยุบคณะกรรมการ ประกันสังคมที่รักษาการรอคณะกรรมการชุดใหม่ที่กำลังจะมีการเลือกตั้งจากผู้ประกันตน นายจ้าง และจะมีการ สรรหากรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ   ไปจนถึงการยุบที่ปรึกษา คณะกรรมการการแพทย์ และคณะกรรมการกองทุนเงินทดแทน                ที่สำคัญคือสั่งยกเลิกการเลือกตั้ง และการสรรหาที่จะเกิดขึ้นเดือนเมษายนทั้งหมด และตั้งคณะกรรมการ ประกันสังคมชุดใหม่  และคณะกรรมการ กองทุนเงินทดแทนทันที   ให้มีวาระไป ๒ ปี โดยอ้างว่าเพื่อปฏิรูปประกัน สังคมให้โปร่งใส มีธรรมาภิบาล และเกิดประโยชน์สูงสุด และอ้างว่าเป็นการเรียกร้อง ของขบวนแรงงานด้วย            มีการวิพากษ์วิจารณ์จากแรงงานทั้งในและนอกระบบอย่างมาก ว่าไม่ใช่ทิศทางที่ควรจะเป็นของการปฏิรูป ระบบประกันสังคม             คำสั่ง คสช.นี้ทำให้เกิดความสงสัยว่า  คสช.เข้าใจปัญหาและทิศทางการปฏิรูประบบประกันสังคม จริงหรือไม่    การใช้มาตรา๔๔ แม้อาจจะคิดว่าเป็นความหวังดี และได้แต่งตั้งผู้แทนลูกจ้างบางคนเข้าร่วมด้วย แต่ประเด็นสำคัญที่ขัดขวางการปฏิรูประบบประกันสังคม คือการทำลายหลักการที่จะมีผู้แทนผู้ประกันตน อย่างโปร่งใส และเป็นที่ยอมรับ เชื่อมั่นของผู้ประกันตน   เป็นการทำลายรากฐานการปฏิรูปอย่างมีส่วนร่วม และไม่สามารถมีหลักประกันได้ว่า การถอยหลังเข้าคลองไปอีกสองปีนี้จะมีหลักประกันอะไรของการปฏิรูป
            กลุ่มเป้าหมายเชิงยุทธศาสตร์ของการปฏิรูประบบสวัสดิการสังคมเพื่อความมั่นคงและยั่งยืนนั้น  ต้องเน้นที่ “คนทำงาน”ในทุกรูปแบบคือข้อต่อสำคัญ   นั่นคือการพัฒนาและปฏิรูประบบประกันสังคมให้ครอบคลุม คนทำงานอย่างกว้างขวางที่สุด  มีสิทธิประโยชน์ได้มากที่สุด  และมีการบริหารที่เป็นประชาธิปไตยแบบมีส่วนร่วม  มีความเป็นอิสระ โปร่งใส และตระหนักถึงความเป็นหุ้นส่วนทางสังคม  เพราะจะทำให้คนทำงานสามารถ ดูแลตนเอง  ครอบครัว  รวมถึงเด็กเล็ก  ผู้สูงอายุ ผู้พิการ ผู้ป่วยได้
            ทางที่ดีที่สุดคือ ต้องให้กฎหมายประกันสังคมฉบับใหม่เดินหน้าการเลือกตั้งและการสรรหาต่อไป และจะดียิ่งขึ้นเมื่อรัฐบาลดำเนินการแก้ไขกฎหมายประกันสังคมอีกครั้ง โดยการปฏิรูปโครงสร้างสำนักงาน และกองทุนประกันสังคมไปสู่ความเป็นอิสระจากส่วนราชการ และนักการเมือง โดยการมีส่วนร่วมคิดของ ทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง