ข้อเสนอเบื้องต้นของขบวนผู้หญิงปฏิรูปประเทศไทย (WeMove)
:
“ สิทธิเสรีภาพของบุคคล ชุมชน
ความเสมอภาคในศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ และการไม่ถูกเลือกปฏิบัติ และการมีส่วนร่วมตัดสินใจของประชาชนทุกเพศในทุกมิติทุกระดับ
ต้องเป็นหลักพื้นฐานสำคัญที่สุดของรัฐธรรมนูญ”
..................................................
ขบวนผู้หญิงปฏิรูปประเทศไทย(WeMove) สมาคมติดตามการพัฒนาสตรีในประเทศไทย
(ตพส.ไทย) โครงการสตรีและเยาวชนศึกษา มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ จัดเวที“เสียงประชาชนต่อการร่างรัฐธรรมนูญ” ซึ่งมาจาก
ทุกภาคทั่วประเทศในวันเสาร์ที่ ๓๐ และวันอาทิตย์ที่ ๓๑ มกราคม ๒๕๕๙ ที่รัฐสภา สนับสนุนโดย
UN Women และ องค์กรอื่นๆ ด้วยเจตนารมณ์ที่มุ่งหวังให้สังคมไทยมีการเปลี่ยนผ่านช่วงแห่งความขัดแย้งและสถานการณ์การเมือง
ที่ชะงักงัน เพื่อก้าวต่อไปสู่ระบอบประชาธิปไตยและการปฏิรูปประเทศที่มีประชาชนทุกเพศทุกวัยเป็นศูนย์กลาง โดยมีรัฐธรรมนูญอันเป็นกฎหมายสูงสุดเป็นที่ยอมรับของประชาชน
ในสถานการณ์ของประเทศไทยขณะนี้ รัฐธรรมนูญฉบับใหม่เป็นหัวเลี้ยวหัวต่อที่สำคัญของการกลับ
ไปสู่ระบอบประชาธิปไตย ประชาชนมีความมุ่งมั่นที่ชัดเจนว่า ต้องการรัฐธรรมนูญที่พัฒนาให้ดีขึ้นกว่าเดิม
ควรต้อง ให้ดีกว่ารัฐธรรมนูญ ปี ๒๕๔๐ และ ๒๕๕๐ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในหลักสิทธิเสรีภาพ
ความเสมอภาค และการมีส่วน ร่วมของประชาชน
ดังนั้น
ก่อนจะมีร่างรัฐธรรมนูญฉบับสุดท้ายที่นำมาสู่การจัดทำประชามติ ประชาชนทุกเพศทุก กลุ่มจึงมีการนำเสนอหลักการแนวคิดต่างๆ
และเรียกร้องให้มีการรับฟังความเห็นอย่างจริงจังในช่วงการแก้ไขปรับปรุง ร่างรัฐธรรมนูญ โดยที่กระบวนการรับฟังที่มีการถกเถียงในสาระสำคัญอย่างกว้างขวางและต่อเนื่องในประเด็นต่างๆ
ของรัฐธรรมนูญเกิดขึ้นน้อยมาก ขบวนผู้หญิงปฏิรูปประเทศไทย
(WeMove) และองค์กรร่วมจัด จึงเร่งรัดจัดเวทีเพื่อ ศึกษา วิเคราะห์ร่างรัฐธรรมนูญใหม่ทั้งฉบับอย่างเร่งด่วน
ชบวนผู้หญิงปฏิรูปประเทศไทย(WeMove) สมาคมติดตามการพัฒนาสตรีในประเทศไทย
(ตพส.ไทย) โครงการสตรีและเยาวชนศึกษา มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ มีข้อเสนอเบื้องต้นต่อร่างรัฐธรรมนูญ ดังนี้
๑)
ในบททั่วไปซึ่งเป็นเจตนารมณ์ชี้นำต่อรัฐธรรมนูญทั้งฉบับ ขาดมาตราหัวใจสำคัญ คือ มาตรา ๔ ใน รัฐธรรมนูญปี
๒๕๔๐ และ๒๕๕๐ : “ศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ สิทธิเสรีภาพ และความเสมอภาคของบุคคล
ย่อมได้รับ ความคุ้มครอง” ซึ่งประชาชนและสถาบันต่างๆในสังคมไทยได้มีกระบวนการเรียนรู้ความหมายของการเคารพ
ศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ จนมีพัฒนาการที่หยั่งรากลึกเป็นจิตวิญญาณ เป็นวัฒนธรรม และได้ดูแลบุคคลทุกกลุ่ม ที่อยู่ในประเทศไทยโดยไม่จำกัดเฉพาะผู้ที่มีสัญชาติไทย ดังนั้นจึงมีความหมายและความจำเป็นอย่างยิ่ง ที่จะต้องนำ
มาตรา ๔ เดิมนี้คืนมา
๒)
การบัญญัติถึงความผูกพันต่อกติกาและอนุสัญญาระหว่างประเทศที่ประเทศไทยเป็นภาคี
ซึ่งรัฐธรรมนูญปี ๒๕๔๐ และ ๒๕๕๐ รวมถึงรัฐธรรมนูญชั่วคราวแห่งราชอาณาจักรไทย
พ.ศ. ๒๕๕๗ ได้บัญญัติไว้ในมาตรา ๔ ๓)
ต้องมีหลักประกันในการตรากฎหมายที่จำกัดสิทธิเสรีภาพประชาชน โดยเฉพาะในมาตรา ๒๕ และมาตรา ๒๖ ของร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ยังมีความไม่ชัดเจนในหลักทั่วไปนี้
๔)
ต้องมีหลักประกันในการคุ้มครองสิทธิเสรีภาพ
ความเสมอภาคและการมีส่วนร่วมของประชาชน
๔.๑)
ข้อขัดแย้งที่สำคัญคือ ร่างรัฐธรรมนูญฉบับนี้ได้นำบทบัญญัติที่รับรองเรื่องสิทธิเสรีภาพของ
บุคคล และ ชุมชน เปลี่ยนเป็นการมาบัญญัติไว้ในหมวด
๕ “หน้าที่ของรัฐ” ซึ่งเป็นฐานคิดที่ขัดแย้งกับความมุ่งหวัง
ของประชาชนที่ต้องการให้บัญญัติเป็นสิทธิเสรีภาพ เนื่องจากรัฐธรรมนูญเป็นกฎหมายสูงสุดที่กฎหมายและการ
กระทำใดๆจะขัดหรือแย้งกับรัฐธรรมนูญมิได้ อันจะก่อให้เกิดผลผูกพันต่อองค์กรผู้ใช้อำนาจรัฐ ทั้งฝ่ายบริหาร ฝ่ายสภา องค์กรตุลาการ รวมถึงองค์กรอิสระ และเป็นหลักประกัน ให้ประชาชนสามารถอ้างสิทธิต่างๆนี้ในการ
ผลักดันให้เกิดการปฏิบัติตามสิทธิ ทั้งนี้ การตระหนักและปกป้องสิทธิของประชาชนเป็นหลักประกันพื้นฐานของการ
ตรวจสอบการใช้อำนาจรัฐ และการบังคับใช้รัฐธรรมนูญในทุกมิติและทุกระดับ รวมถึงการมีจิตสำนึกที่เคารพและไม่ ละเมิดต่อสิทธิเสรีภาพของบุคคลอื่นด้วย
ดังนั้น จึงควรที่จะนำบทบัญญัติเรื่องสิทธิเสรีภาพที่มีอยู่กว้างขวางในรัฐธรรมนูญ๒๕๔๐
และ ๒๕๕๐ มาอยู่ในหมวดสิทธิเสรีภาพเช่นเดิม
และปรับปรุงเนื้อหาบางประการให้ดีกว่าเดิมตามที่มีการเสนอมา อย่างต่อเนื่อง
โดยอาจบัญญัติควบคู่เป็นหน้าที่ของรัฐหรือแนวนโยบายพื้นฐานแห่งรัฐด้วย
๔.๒)
ประเด็นที่ห่วงใยซึ่งเป็นหลักการที่ปรากฏอยู่ในรัฐธรรมนูญปี
๒๕๔๐ และปี ๒๕๕๐ เช่น ๔.๒.๑)ความเสมอภาคและการไม่ถูกเลือกปฏิบัติที่ไม่เป็นธรรม
ในมาตรา ๒๗ ซึ่งตัดทอนเหตุแห่ง ความแตกต่าง
๑๒ ประการในมาตรา ๓๐ ของรัฐธรรมนูญปี ๒๕๔๐และ ๒๕๕๐ ซึ่งเป็นมาตราหลักที่สำคัญของ
ความเสมอภาค จึงควรที่จะบัญญัติตามเดิม คือ “บุคคลย่อมเสมอกันตามกฎหมายและได้รับความคุ้มครองตามกฎหมายเท่าเทียมกัน หญิง และชายมีสิทธิเท่าเทียมกัน การเลือกปฏิบัติโดยไม่เป็นธรรมต่อบุคคลเพราะเหตุแห่งความแตกต่างในเรื่องถิ่นกำเนิด
เชื้อชาติ ชาติพันธุ์ ภาษา เพศ เพศสภาพ
อายุ ความพิการ สภาพทางกายหรือสุขภาพ สถานะของบุคคล ฐานะทางเศรษฐกิจหรือสังคม ความเชื่อทางศาสนา การศึกษาอบรม
หรือความคิดเห็นทางการเมืองอันไม่ขัดต่อบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญ จะกระทำมิได้ มาตรการที่รัฐกำหนดขึ้นเพื่อขจัดอุปสรรคหรือส่งเสริมให้บุคคลสามารถใช้สิทธิและเสรีภาพได้เช่นเดียวกับบุคคลอื่น
ย่อมไม่ถือเป็นการเลือกปฏิบัติโดยไม่เป็นธรรม” และควรเพิ่ม“การคุ้มครองสิทธิของบุคคลทุกเพศสภาพ”ตามร่างรัฐธรรมนูญฉบับที่ไม่ผ่านการเห็นชอบ
ของสภาปฏิรูปแห่งชาติด้วย
๔.๒.๒) สิทธิในกระบวนการยุติธรรม ซึ่งประชาชนเรียกร้องต้องการสิทธิพื้นฐานหลักนี้อย่างยิ่ง ตามที่รัฐธรรมนูญปี ๒๕๔๐
ได้บัญญัติไว้โดยละเอียด เพราะประกันความยุติธรรมต่อคนทุกกลุ่มทั้งที่มีสัญชาติไทย
และไม่มีสัญชาติไทย และรัฐธรรมนูญ๒๕๕๐ มาตรา
๔๐(๖)ได้รับรองสิทธิได้รับความคุ้มครองในการดำเนินกระบวน พิจารณาคดีอย่างเหมาะสม
และย่อมมีสิทธิได้รับการปฏิบัติที่เหมาะสม ในคดีที่เกี่ยวกับความรุนแรงทางเพศ และความรุนแรงในครอบครัว
๔.๒.๓) สิทธิชุมชนในการจัดการทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
ซึ่งเป็นเรื่องสำคัญมากในการ ปกป้องคุณภาพชีวิตและสิ่งแวดล้อมของชุมชน โดยเฉพาะมาตรา
๖๖ และ ๖๗ ที่เคยบัญญัติไว้ชัดเจนในรัฐธรรมนูญ ปี ๒๕๔๐ และปี ๒๕๕๐
โดยบัญญัติให้ต้องมีองค์กรอิสระสิ่งแวดล้อมและสุขภาพ ขณะที่ในร่างรัฐธรรมนูญนี้บัญญัติ สิทธิชุมชนอย่างจำกัดมาก
๔.๒.๔) สิทธิในหลักการกระจายอำนาจสู่ท้องถิ่นและชุมชน ซึ่งมีการเสนอทิศทางการปฏิรูปในภาพ รวมชัดเจนว่า “ต้องลดอำนาจรัฐส่วนกลาง
เพิ่มอำนาจประชาชนและท้องถิ่น” แต่ในร่างรัฐธรรมนูญใหม่ไม่ชัดเจน
และไม่มีหลักการสำคัญที่เคยปรากฏ โดยเฉพาะอย่างยิ่งอำนาจขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในการจัดการ
ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และการให้มีองค์กรปกครองท้องถิ่นเต็มพื้นที่ทั้งจังหวัด
ตามความพร้อมและตาม เจตนารมณ์ของประชาชนในท้องถิ่นนั้น
๔.๒.๕) สิทธิในสวัสดิการสังคม เช่น การศึกษา
สาธารณสุข เด็ก เยาวชน ผู้สูงอายุ ผู้พิการฯลฯ
ที่ถูกนำไปบัญญัติใน “หน้าที่ของรัฐ” ทั้งที่ต้องตั้งฐานคิดก่อนว่าประชาชนกลุ่มต่างๆมีสิทธิได้รับสวัสดิการต่างๆและ
บางสิทธิจำเป็นต้องดูแลทุกคนที่อยู่ในประเทศไทย
และต้องมีการบริหารจัดการการคลังเพื่อสังคม
๔.๒.๖) สิทธิแรงงาน ไม่มีบทบัญญัติทั้งสิทธิแรงงาน สิทธิแรงงานข้ามชาติ การคุ้มครองแรงงาน หญิง
และเสรีภาพในการชุมนุม โดยเฉพาะอย่างยิ่งไม่บัญญัติถึงการผูกพันและปฏิบัติตามพันธกรณีระหว่างประเทศที่
ประเทศไทยเป็นภาคี
๔.๒.๗) สถาบันการเมืองและการตรวจสอบการใช้อำนาจรัฐ มีข้อสังเกตว่า ร่างรัฐธรรมนูญฉบับนี้มุ่ง ปราบปรามและป้องกันการทุจริต
โดยเน้นที่นักการเมืองเป็นสำคัญ ขณะที่ในสภาพความเป็นจริงของสังคมไทย การทุจริตมีความเชื่อมโยงและสลับซับซ้อน ทั้งนักการเมือง
ข้าราชการ และกลุ่มทุนขนาดใหญ่ ที่สำคัญคือการ ปราบปรามและป้องกันการทุจริตที่มีประสิทธิภาพที่สุด
คือการส่งเสริมให้ประชาชนทุกกลุ่มมีความเข้มแข็งและ
มีบทบาทในการตรวจสอบการทุจริตทุกมิติทุกระดับ
๔.๒.๘)
ความเสมอภาคระหว่างเพศ ซึ่งเป็นการจัดสรรปันส่วนอำนาจเพื่อความเสมอภาคต่อเจ้าของ
อำนาจอธิปไตย ในฐานะที่ผู้หญิงมีจำนวนมากกว่าผู้ชายถึง ๒ ล้านคน ขบวนผู้หญิงปฏิรูปประเทศไทย (WeMove)
ได้ขับเคลื่อนและรณรงค์สัดส่วนการมีส่วนร่วมของผู้หญิงในการตัดสินใจในทุกมิติทุกระดับ
โดยเฉพาะอย่างยิ่งการ จัดสรรงบประมาณที่เป็นเครื่องมือสำคัญที่จะนำไปสู่การจัดสรรทรัพยากรและบริหารงานภาครัฐ อย่างเสมอภาคและ เป็นธรรมในสังคม
ต้องคำนึงถึงหลักความเสมอภาคระหว่างเพศ( Gender Budgeting )อันเป็นหลักการสากลที่มีการ ดำเนินการในหลายประเทศ เพื่อสร้างความสมดุลและเป็นการป้องกันปัญหาความไม่เท่าเทียมกัน
การกำหนดสัดส่วนหญิงชายที่เท่าเทียมกันในการตัดสินใจทุกมิติทุกระดับ ควรจะต้องนำมาบัญญัติ ไว้ในร่างรัฐธรรมนูญเพื่อความชัดเจน
ทั้งในการส่งผู้สมัครบัญชีรายชื่อของพรรคการเมือง การกำหนดผู้บริหารใน องค์กรปกครองท้องถิ่น การสรรหากรรมการองค์กรอิสระ องค์กรตามรัฐธรรมนูญและองค์กรระดับต่างๆของรัฐ
บทสรุป ขบวนผู้หญิงปฏิรูปประเทศไทย (
WeMove) ขอเสนอหลักการสำคัญต่อร่างรัฐธรรมนูญใหม่ใน เบื้องต้น โดยจะมีการจัดเวทีระดับภูมิภาคอย่างต่อเนื่อง ทั้งภาคเหนือ ภาคอีสาน และภาคใต้ รวมทั้งเวทีระดับชาติ ครั้งที่ ๒ เพื่อให้เกิดความตระหนักร่วมกันของสังคมไทย ถึงความสำคัญของศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ สิทธิเสรีภาพ และความเสมอภาคระหว่างเพศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการมีส่วนร่วมในการตัดสินใจทุกมิติทุกระดับ และการขจัดความ เหลื่อมล้ำ สร้างความเป็นธรรมในสังคม เพื่อนำไปสู่การปรับปรุงแก้ไขร่างรัฐธรรมนูญ และทิศทางการปฏิรูป ประเทศต่อไป
ขบวนผู้หญิงปฏิรูปประเทศไทย(WeMove) จะเกาะติดการปรับปรุงแก้ไขร่างรัฐธรรมนูญ และมีข้อเสนอ ต่อสาธารณะอย่างต่อเนื่อง จนถึงขั้นตอนการทำประชามติ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น