วันพุธที่ 23 ธันวาคม พ.ศ. 2558

ร่างรธน.กับความกลัวกลไกอิสรพตรวจสอบการละเมิดสิทธิมนุษยชน..กรณี กสม

ผีเสื้อกระพือปีก  (สยามรัฐ ๒๒ ธค๕๘)  

ร่างรัฐธรรมนูญกับความกลัวกลไกอิสระตรวจสอบการละเมิดสิทธิมนุษยชน

                                                :  กรณีคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ             
                                                                                                                        โดย   สุนี  ไชยรส
            น่าเศร้าใจกับกระบวนการร่างรัฐธรรมนูญฉบับปิดลับ  ไม่กล้าเปิดเนื้อหาและหลักการล่วงหน้า  คงจะกลัวสังคมวิพากษ์วิจารณ์ที่ไม่สอดคล้องกับความคิดเจตนาของตนเอง  และคิดว่าตนเองรู้ดี ตัดสินใจดี  จึงไม่มีกระบวนการรับฟังความคิดเห็นจากทุกภาคส่วน   นอกจากบอก “ให้ส่งข้อมูลมาสิ เปิดกว้างให้ส่ง ได้เสมอ”    โดยวันที่ ๒๙ มค ๒๕๕๙  จะแถลงให้รู้ทีเดียวทั้งฉบับ  โดยให้เวลาทั้งสังคมไทยตั้ง ๑๕ วัน  ให้วิจารณ์ได้เต็มที่   จะเอาไปปรับปรุง  แล้วจะแถลงให้รู้ ๓๐ มีนาคม เพื่อให้ประชาชนลงประชามติเลย              ช่างขัดแย้งกับคำขวัญของคณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญที่เก๋มาก   “ร่วมคิด ร่วมร่าง ร่วมสร้าง รัฐธรรมนูญใหม่” 
            ไม่คิดว่าจะสุ่มเสี่ยงเกินไปหรือ  ที่ดูเหมือนจะมัดมือชกให้รอลงประชามติเลย 
            จากการวิพากษ์วิจารณ์หลากหลายช่วงร่างรัฐธรรมนูญฉบับ อ.บวรศักดิ์  ที่มีทั้งข้อดีไม่น้อย แต่ก็มี จุดอ่อนที่ควรเก็บรับบทเรียนหลายประเด็น  เสียงที่ชัดเจนประการหนึ่งคือ ในด้านสิทธิเสรีภาพของประชาชน สิทธิชุมชน การกระจายอำนาจ เป็นต้น  ต้องไม่ด้อยไปกว่ารัฐธรรมนูญฉบับ ปี ๒๕๔๐ และ ๒๕๕๐ รวมทั้งมี การโต้แย้งเรื่องบทบาทอำนาจหน้าที่คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ  (กสม) ที่ร่างเดิมจะไปควบรวม กับผู้ตรวจการแผ่นดิน   และถูกสังคมวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนัก  จนในที่สุด ต้องให้มีการแยกสององค์กรที่มี เจตนารมณ์และบทบาทภารกิจต่างกัน   และให้ความสำคัญต่อการตรวจสอบการละเมิดสิทธิมนุษยชน  ที่ต้องดำเนินการอย่างเป็นอิสระ   และเป็นไปตามพันธกรณีระหว่างประเทศที่ ประเทศไทยเป็นภาคี  แต่ก็ไม่ เขียนอำนาจหน้าที่ให้ชัดเจนเหมือนรัฐธรรมนูญ​๒๕๔๐ และ ๒๕๕๐
            ล่าสุด“จากข้อมูล ณ วันที่ ๑๕ ธันวาคม ๒๕๕๘”ที่คณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญฉบับนี้ เปิดเผยความคืบหน้าในการดําเนินงานออกมาบ้าง    ระบุจะให้มีเนื้อหาสั้นและกระชับ และบัญญัติเฉพาะ หลักการที่สําคัญเท่านั้น ส่วนรายละเอียดจะนําไปกำหนดไว้ในกฎหมายลําดับต่างๆต่อไป โดยคณะ กรรมการจะยกร่างรัฐธรรมนูญขึ้นใหม่ แทนการนํารัฐธรรมนูญฉบับใดฉบับหนึ่งในอดีตมาปรับปรุง
            สังคมไทยคงต้องช่วยกันวิพากษ์วิจารณ์หลักการที่แถลงออกมา ๑๗ หน้าในครั้งนี้ก่อน มีหลาย ประเด็นที่ควรแก่การวิพากษ์วิจารณ์อย่างยิ่ง   จะไปรอถึง ๒๙ มค.๕๙ ที่จะแถลงทั้งฉบับน่าจะสายเกินไป  วันนี้ขอเปิดประเด็นเรื่องแรกว่าด้วย “คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ”
            จากหัวข้อ…  “องค์กรอิสระตามรัฐธรรมนูญ”….
            ๒) ผู้ตรวจการแผ่นดินเห็นควรให้ใช้แนวทางการร่างบทบัญญัติในส่วนนี้ตามรัฐธรรมนูญ แห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๕๐…
            ๕) คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติจะเน้นให้เป็นองค์กรที่มีอํานาจหน้าที่ในการ ให้คําปรึกษา (advisory)…
            กรณีผู้ตรวจการแผ่นดิน  เขียนเช่นนั้นก็ยังไม่มีปัญหาอะไร  
            แต่กรณีคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ(กสม) ที่เกิดขึ้นในช่วงรัฐธรรมนูญ​๒๕๔๐ ที่ประชาชน เรียกร้องให้บัญญัติสิทธิเสรีภาพของประชาชน สิทธิชุมชน และการกระจายอำนาจ…อย่างชัดเจน  รวมทั้งให้มี กลไกที่เป็นอิสระในการส่งเสริมและปกป้องสิทธิมนุษยชน  ที่มีหน้าที่สำคัญในการตรวจสอบการละเมิดสิทธิ มนุษยชนและการกระทำไม่เป็นธรรม ทั้งจากรัฐและเอกชน  นั่นคือคณะกรรมการ สิทธิมนุษยชนแห่งชาติ    ซึ่งกว่าจะบัญญัติได้ในรัฐธรรมนูญก็มีการต่อสู้ทางแนวคิด หลักการ และอคติจาก ความหวั่นเกรงที่ประชาชนจะเรียกร้องสิทธิมากเกินไป  รวมทั้งความกลัวเรื่องการตรวจสอบการละเมิดสิทธิ จากหน่วยงานของรัฐ  ที่ดำเนินการได้เป็นอิสระ ไม่อยู่ใต้การสั่งการของรัฐบาล
            หลักการของคณะกรรมการร่างฯชุดนี้ได้ทำลายทั้งหลักประกันเรื่องสิทธิของประชาชน ทำลาย ภาพพจน์ที่ประเทศไทยกำลังถูกวิจารณ์เรื่องสิทธิมนุษยชน    เท่ากับทำให้ถอยหลังตกคลองไปเลย  ไม่สามารถที่จะยอมรับได้ตั้งแต่แนวคิดหลักการทีเดียว  และจำเป็นต้องถูกคัดค้านวิพากษ์อย่างจริงจัง
            คณะกรรมการสิทธิฯในรัฐธรรมนูญ ๒๕๔๐ เกิดขึ้นได้เพราะประชาชน  และภาคประชาสังคมยัง เกาะติดไปวิพากษ์คัดค้านอย่างหนักต่อความพยายามไปหมกเม็ดไว้ในการร่างกฎหมายลูกต่อมาอีกด้วย ซึ่งเป็นเรื่องที่น่ากลัวมากๆถ้าดำเนินการตามหลักการของคณะกรรมการร่างฯชุดนี้   เพราะเมื่อหลักการ ก็ผิดพลาดแล้ว  การจะเขียนสั้นๆให้ไปรอกฎหมายลูกอีกทีก็ยิ่งจะไปกันใหญ่  ปิดฉากองค์กรอิสระนี้ไปได้เลย  
            บทเรียนก่อนจะมาเป็น พ.ร.บ.คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ พ.ศ.๒๕๔๒ ก็คือ แม้รัฐธรรมนูญเขียนชัดเจนให้เป็นองค์กรตรวจสอบที่เป็นอิสระ  ร่างแรกของกฎหมายโดยรัฐบาลยังให้ สำนักงานคณะกรรมการสิทธิฯขึ้นตรงต่อนายกรัฐมนตรี  ภาคประชาสังคมทั่วประเทศคัดค้านจนเปลี่ยน มาให้สำนักงานกสม.มาขึ้นตรงต่อประธาน กสม.  เพื่อประกันหลักอิสระขั้นต้น  และยังมีอีกหลายประเด็น ที่มีกระแสผลักดันให้เปลี่ยนแปลงร่างกฎหมายลูกนี้ให้ดีขึ้น
            ที่ทำได้บ้าง  เพราะรัฐธรรมนูญเขียนไว้ในหลักการที่ดี  ประกอบกับร่างกฎหมายนี้เป็นฉบับเดียว ที่ให้มีการประชาพิจารณ์ทั่วประเทศ  ทำให้ประชาสังคมสามารถมีส่วนร่วมได้อย่างจริงจัง
            ตอนนี้นึกภาพล่วงหน้าได้ชัดเจนว่าจะเป็นอย่างไร  เมื่อมีการร่างกฎหมายลูกที่จะดำเนินการ โดยคณะกรรมการ ร่างฯชุดนี้  ประกอบกับกระบวนการตรากฎหมายปัจจุบันก็รวดเร็ว ไม่มีส่วนร่วม ของประชาชนอีกเช่นกัน
            ถ้าคณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญยืนยันหลักการให้ คณะกรรมการสิทธิฯทำหน้าที่องค์กร ให้คำปรึกษา  ก็ขอให้แถลงตรงๆออกมาเลยว่า  จะยุบคณะกรรมการสิทธิฯ และก็ควรเสนอให้รัฐบาล ไปถอนชื่อประเทศไทยจากพันธกรณีระหว่างประเทศด้านสิทธิมนุษยชนต่างๆที่ไปเป็นภาคีไว้ด้วยเลย