วันเสาร์ที่ 23 เมษายน พ.ศ. 2554

คารวะปู่ย่า ..ชาวนานักปฏิวัติ

                                                                   คารวะปู่ย่า  ..ชาวนานักปฏิวัติ

                 ฉันเป็นหนึ่งในสิบห้าคนของสหายในเมืองเขตภูซางที่มีความรักกับสหายชาวนา  มีทั้งจากนักเรียนนักศึกษาปัญญาชนและกรรมกร  มีเก้าคนที่แต่งงานในป่าและอีกสองคนมาแต่งงานกันในเมือง    โดยมีแปดคู่ที่มีลูกและได้มาอยู่ในเมืองด้วยกัน     บางคู่ต้องจากกันไปท่ามกลางความเปลี่ยนแปลงของสถานการณ์ทางการเมือง และชีวิตจริงรอบตัว    แต่ก็เป็นการจากด้วยความเข้าใจที่ดีและยังผูกพันกันฉันสหาย
   มีคู่หนึ่งที่สหายต่างชื่นชม   แม่ไม่เคยปิดบังลูกเรื่องพ่อ   บางครั้งก็พาลูกมาเยี่ยมครอบครัวใหม่ของพ่อในชนบท  หรือพาลูกมาพบพ่อเมื่อสหายชนบทมาร่วมงาน14 ตุลาหรือ 6 ตุลาที่กรุงเทพฯ    และพาลูกมางานสถูปภูซางบางปี   แต่ก็มีสองคู่ที่สหายชายทั้งปัญญาชนและชาวนาไม่รับผิดชอบต่อลูก   อันสะท้อนความเป็นจริงหนึ่งของผู้หญิงคือ   ไม่ว่าเป็นนักเรียน  หรือสหายชาวนา     แม่รับผิดชอบต่อลูกเสมอ   ไม่ว่าจะยากลำบากเพียงใดก็ตาม   [1]
                    มีหลายคู่ที่เสนอต่อจัดตั้งเพียงแค่ขั้นตอนของความรัก    และได้ลาจากกันเมื่อถึงยุคแห่งความสับสนที่สุดของการต่อสู้ด้วยกำลังอาวุธในช่วงปี 2524     การใช้นโยบายการเมืองนำการทหารของรัฐบาล  ก็ช่วยเปิดโอกาสให้สหายกลับบ้านได้ง่ายขึ้น  แต่ก็ยังเป็นสหายที่ดีต่อกัน  อาจมีบ้างบางรายเท่านั้นที่รู้สึกเจ็บปวดและขออยู่ห่างจากความหลังช่วงนี้  
ด้วยการอยู่อย่างสงบเงียบ ...
                  
                   เขตภูซางนี้แม้จะมีคู่ที่แต่งข้ามชนชั้นไม่น้อย   แต่จัดตั้งไม่ได้โน้มน้าวจูงใจแต่อย่างใด   โดยเฉพาะลุงทุ่ง มีแต่เป็นห่วงและถามทั้งทางตรงและทางอ้อมให้ตัดสินใจให้รอบคอบ  เกรงจะมีปัญหาต่อไปได้       ชาวนาปัญญาชนมีภูมิหลังที่ต่างกัน   วิธีคิดวิธีทำงานต่างกัน   แม้จะร่วมทุกข์ร่วมสุขในการปฏิวัติร่วมกัน    แต่ก็ต้องประเมินตนเองให้สอดคล้องที่สุด    เพื่อมิให้เกิดความเจ็บปวดทั้งสองฝ่ายในอนาคต
                   มีหลายคนถามว่าทำไมฉันจึงอยู่กับสหายชาวนาได้นาน?    ฉันคิดว่าสภาพการณ์ที่น้องๆต้องเผชิญต่างจากฉันมาก  สหายนักเรียนนักศึกษาหญิงเมื่อกลับไป   ครอบครัวต่างต้องการให้กลับไปเรียนต่อ   เมื่อต้องไปอยู่กับครอบครัว  ต้องอาศัยการช่วยเหลือดูแลค่าใช้จ่ายจากทางบ้าน  ขณะที่สามีเป็นสหายชาวนา  กว่าจะปรับตัวทั้งภาษา การใช้ชีวิตในเมืองและการมีงานทำที่ช่วยให้มั่นใจและภูมิใจในตนเองในการที่จะรับผิดชอบดูแลลูกร่วมกัน   ขณะที่ภรรยาต้องไปเรียนต่อและมีวิถีชีวิตอีกแบบหนึ่ง   แม้ครอบครัวสหายจะพยายามเข้าใจและ ช่วยหางานให้ทำ   แต่ก็เป็นงานที่ไม่กลมกลืนกับชีวิตของภรรยาและครอบครัวนัก   เพราะสหายชาวนามีความรู้ที่จำกัด       
                       ช่องว่างในความรู้สึกเหล่านี้มันหดหู่พอสมควร     สหายชาวนาบางคนจึงเป็นฝ่ายขอแยกทางกลับบ้านเสียเอง 
     
     มีสหายชายชาวนาบางคนปรับตัวได้ดี   เป็นหมอจากจีนที่ได้รับการยอมรับจากชุมชนมากและทำงานหมอจนถึงปัจจุบัน    ครอบครัวฝ่ายหญิงก็รัก แต่เมื่อสหายหญิงเรียนต่อถึงปริญญาโท และอยู่คนละภาค   ช่องว่างที่อธิบายได้ยากเหล่านี้จึงยิ่งมากขึ้นไปอีก ...บางรายสหายหญิงเป็นชาวนาที่ปรับตัวได้ดีมาก  เรียนต่อ มีงานทำ  แต่สหายปัญญาชนทอดทิ้งไม่รับผิดชอบเธอและลูก...
                     หลายคู่ที่อยู่ด้วยกันราบรื่น  เช่น สหายหญิงเป็นกรรมกร    ออกไปช่วยกันค้าขายทำสวนทำไร่ด้วยกัน ,สหายชายชาวนาเป็นหมอจากจีนมีโอกาสได้ใช้ความรู้เรื่องหมอทำงาน  ขณะที่สหายหญิงเป็นนักเรียนที่ไม่ได้กลับไปเรียนต่อ   บางคู่เป็นคนอีสานทั้งคู่สหายหญิงเป็นชาวนา  สหายชายเป็นนักเรียนไปเรียนต่อจนจบทำงานเลี้ยงตัวเองได้  การปรับตัวอาจไม่ซับซ้อนเท่าเข้าไปอยู่กรุงเทพฯ
        สำหรับฉันจบมหาวิทยาลัยแล้วไม่มีความจำเป็นต้องกลับไปเรียนต่อ     ส.ฝ้ายพี่สาวก็กลับจากจีนแล้ว[2]   พี่ชายก็เริ่มลงตัว  แม่ก็พออยู่ได้  ฉันจึงไม่ต้องกังวลที่จะกลับบ้าน   ฉันตัดสินใจอยู่ที่ชนบทกับส.ชน    ดังนั้นเมื่อสหายทุกคนได้กลับบ้านเรียบร้อยหมดแล้วประมาณปี 2526       เช้าวันหนึ่ง   พ่อ  แม่ และน้องของเขาก็ได้พบฉันที่เถียงนาในฐานะลูกสะใภ้   โดยไม่รู้ตัวมาก่อน  แถมยังเป็นคนในเมืองอีกด้วย 
      ครอบครัวส.ชนเป็นชาวนาปฏิวัติที่ผูกพันรักใคร่สหาย  รักใคร่ดูแลฉันอย่างดีมาก  รวมทั้งญาติพี่น้องทุกคน    พ่อใหญ่อำคา  ไชยรส  เคยถูกจับ  ถูกซ้อมอย่างทารุณพร้อมกับผู้ชายเกือบทั้งหมู่บ้าน  แม่ใหญ่ยัน  ไชยรส มีลูก 9 คน   ต้องเผชิญกับปัญหานานัปการ   ในยุคนั้น    แต่พวกผู้หญิงก็กล้าหาญ และคอยช่วยเหลือซึ่งกันและกัน
   
       เราพักอยู่เถียงนา   ฉันไม่ต้องปรับตัวมากนักเพราะเคยอยู่กับสหายชาวนามานาน  เคยช่วยมวลชนทำนาแถวผาโขงผายา  ทำไร่ในป่า  หาหน่อไม้ และทำงานหนักมาสารพัด    เมื่อมาอยู่กับครอบครัวชาวนา  ฉันก็ช่วยทำสวนทำนา  เกี่ยวข้าวและตีข้าวเท่าที่ทำได้    หัดหาแมงดาในนา    ทำปูดอง   ผักดอง  ทำกับข้าวแบบอีสาน    แม้ทุกคนจะพยายามบอกฉันว่า  ไม่ต้องทำก็ได้    ด้วยความเป็นห่วงว่าเป็นปัญญาชนจากในเมือง  

   เมื่อพ่อส.ชนเสียชีวิตเมื่อสามปีก่อน  ฉันเขียนคำไว้อาลัยงานศพพ่อใหญ่อำคา  ไชยรส   เพื่อเป็นแบบอย่างให้งานศพชาวบ้านคนหนึ่ง   ที่มีคุณูปการต่อครอบครัวและต่อชุมชนเช่นกัน

      พ่อใหญ่อำคาและครอบครัวบุกเบิกป่าดงเป็นไร่นา เป็นแบบอย่างของครอบครัวผัวเดียวเมียเดียว  และช่วยเหลือยามภรรยามีลูกอ่อน  ทั้งช่วยงานบ้านและไม่ให้ไปไร่นา   เมื่อถูกกล่าวหาว่าส่งข้าวให้คอมมิวนิสต์ปี 2510   พ่อใหญ่ถูกจับกุมพร้อมชาวบ้านโนนทันผู้ชายเกือบทั้งหมด    พ่อถูกจับฝังหลุมเหลือแต่คอและถูกซ้อมอย่างทารุณ   เมื่อถูกขังอยู่อ.หนองบัวลำภูถึง 8 เดือน   ด้วยความเป็นห่วงครอบครัว   ก็อาศัยฝีมือจักสานที่มีอยู่หารายได้เล็กๆน้อย   ส่งเงินมาช่วยภรรยาได้ 70 บาท      ต่อมาก็ย้ายมาคุก จ.อุดรธานี    แม่ใหญ่ยัน  ไชยรส และภรรยาผู้ถูกจับ ที่มีลูกอ่อนเกือบทุกคน   ได้พากันไปร้องขอความเห็นใจ     จึงได้รับการปลดปล่อยเวลาต่อมา

                     เมื่อกลับออกมาครอบครัวลำบากอย่างแสนสาหัส   พ่อใหญ่อำคามุมานะทำงานรับจ้างค่าแรงวันละ 5 บาทหรือรับจ้างถางไร่ๆละ 20 บาทรวมทั้งบุกเบิกไร่นาตนเองอย่างไม่ย่อท้อ    ขณะที่มีลูกเล็กๆหลายคน   อย่างไรก็ตาม   การปราบปรามของเผด็จการยังไม่ยุติ   ปี 2514 มีการจับกุมคุมขังและซ้อมชาวบ้านอย่างทารุณครั้งใหญ่อีก   มีครอบครัวจำนวนไม่น้อยหลบภัยเข้าป่าดง    และคนหนุ่มแถบนั้นจำนวนมากหลีกเลี่ยงการถูกเกณฑ์ทหาร  เพื่อไม่ต้องมาปราบปรามพ่อแม่พี่น้องและเพื่อนฝูงกันเอง   ลูกชายคนโตสองคนของพ่อใหญ่   ก็เข้าสู่เขตป่าเขาตั้งแต่ก่อน 14 ตุลาคม   (ส.เพลิง และ ส.ชน)    เมื่อขาดลูกชายคนโตสองคนที่เป็นกำลังช่วยสำคัญ   ยังมีลูกเล็กๆอีก6 คน  ครอบครัวก็ลำบากมาก    
               
                     จนกระทั่งบ้านเมืองสงบ   ลูกชายคนโตสองคนก็กลับมาอยู่บ้าน ..     พ่อใหญ่อำคาเคยป่วยโรคตับอักเสบ   โรคกระเพาะอาหาร และเป็นไส้เลื่อน   แต่ก็ได้รักษาเป็นระยะๆจนแข็งแรงไม่มีอาการป่วยใดๆปรากฏอีก  จนวันที่ 16 กุมภาพันธ์ 2543  ยังไปไร่นาอยู่   เกิดอาการปวดท้องอย่างรุนแรงและฉับพลัน    ลูกๆนำส่งโรงพยาบาลหนองบัวลำภู   แพทย์วินิจฉัยว่าเป็นโรคลำไส้อักเสบจำเป็นต้องผ่าตัด     แต่เมื่อผ่าตัดแล้วอาการไม่ดีขึ้น  เสียชีวิตเมื่อเวลาตีสอง วันที่  17 กุมภาพันธ์ 2543   ท่ามกลางความเศร้าสลดของครอบครัว   ญาติพี่น้องและเพื่อนฝูง  ชาวบ้านทั่วไป

ฉันให้สัมภาษณ์นิตยสารหญิงไทย ฉบับตุลาคม 2540 ว่า สามีเป็นชาวนา   จะว่ามีช่องว่างมั้ยก็มีเหมือนกัน   อาจจะเนื่องจากตัวเราเองด้วย    พ่อแม่เค้าน่ารักมาก  เป็นชาวนา      เดี๋ยวนี้ดิฉันก็ยังอยู่กับพ่อแม่เค้า   จะว่าไม่มีปัญหาเสียเลยก็ไม่ใช่    ก็มีบ้าง     มันจะมีมุมมองอะไรที่แตกต่างกันนะคะ   แต่ว่าเค้าเป็นคนดี   รักลูกรักครอบครัว  ทำให้อยู่ด้วยกันมาจนถึงวันนี้.. เราใช้ชีวิตอยู่ที่โน่น  อยู่แบบชาวนาเลย คือเราไม่ต้องกลับมาใช้ชีวิตเหมือนเดิมอีก  ทำให้เค้าก็ไม่ต้องปรับตัวมาก   แล้วชาวนาที่เข้าป่าจะไม่เหมือนชาวนาทั่วๆไป   เค้าได้เรียนรู้ทางสังคม        ชาวนาที่อยู่ในป่าจะได้เรียนหนังสือโดยทางอ้อม    เรียนรู้การใช้ชีวิตอยู่ร่วมกับผู้คน   อยู่กับนักศึกษา    อยู่กับปัญญาชน  เรียนรู้ทางการเมือง    มีการฝึกพูดฝึกออกความคิดเห็นในการสัมมนา...

                     วันนี้ย่ายัน ไชยรสก็ยังอยู่เป็นหลักให้ลูกหลานอยู่บ้านโนนทัน  และใส่บาตรตอนเช้าทุกวันๆ
                     ในวันสงกรานต์นี้  ขอให้ย่ายัน  สุขภาพแข็งแรงค่ะ...





   [1] ส.เทียน  เป็นนักศึกษาพยาบาล  ที่มีคนรักแล้ว  แต่ส.วิทยาเสียสละ   เธอตัดสินใจแต่งงานกับส.ยอดซึ่งเป็นหมอจบจากจีน   

      [2] ส.ฝ้ายกลับจากแนวหลังที่จีนพร้อมกับ  อนุช  -สมัย  อาภาภิรม     กัญญา  ลีลาลัย(ฤดี  เริงชัย)   ยุทธพงศ์  ภูริสัมบรรณ (รวี  โดมพระจันทร์)        เป็นทีมที่ไปอยู่กับสหายฝ่ายนำกลุ่มหนึ่งที่ ส.ป.ท.   จากการช่วยประสานงานของคุณอาณัติ  อาภาภิรม   แม่ฉันดีใจมากไปรับถึงฮ่องกง    

วันพฤหัสบดีที่ 21 เมษายน พ.ศ. 2554

ภูซางอำไพ: เแม่ลูกอ่อนคนคุก(คอมมิวนิสต์)

สุนี ไชยรส: เแม่ลูกอ่อนคนคุก(คอมมิวนิสต์): " ลูกชายคลอดเกือบหกโมงเช้าวันที่ 28 มกราคม 2530 ที่รพ.รามาธิบดี เราเรียกเขาว่า ’ บอร์น ’ ในความหมาย ‘ born to ..."

ภูซางอำไพ: วงนักเรียนบ้านโนนทัน จ.หนองบัวลำภู

สุนี ไชยรส: วงนักเรียนบ้านโนนทัน จ.หนองบัวลำภู

ภูซางอำไพ: วงเยาวชนห้วยเดื่อ หนองบัวลำภู

สุนี ไชยรส: วงเยาวชนห้วยเดื่อ หนองบัวลำภู

ภูซางอำไพ: รำลึกก๋งกับยายวันเช็งเม้ง วัฒนธรรมจีน ลาว พวน

สุนี ไชยรส: รำลึกก๋งกับยายวันเช็งเม้ง วัฒนธรรมจีน ลาว พวน: "ฉันขอให้แม่ลองเขียนบันทึกความทรงจำเมื่อปี 2545 แม่เรียนจบเพียงชั้นป. 4 แต่ตัวหนังสือก็อ่านง่ายชัดเจน แม่เขียนเล่าไว้ว่า... ..."

ภูซางอำไพ: โซ่ตรวนของผู้หญิง ต้องฝ่าด่านตั้งแต่บ้าน(หอพัก) ...


ภูซางอำไพ: เฟมินิสต์ผิวดำ และผิวสี กับเฟมินิสต์ไทย (ตอน๔) กา...

สุนี ไชยรส: เฟมินิสต์ผิวดำ และผิวสี กับเฟมินิสต์ไทย (ตอน๔) กา...: " เฟมินิสต์ผิวดำและผิวสี ( Black Feminism ) กับเฟมินิสต์ไทย (ตอน๔) การหลอมรวมอุดมก..."

ภูซางอำไพ: ผู้หญิงกับการเมือง : บทบาทในพรรคพลังธรรม (ม.ธรรมศ...

สุนี ไชยรส: ผู้หญิงกับการเมือง : บทบาทในพรรคพลังธรรม (ม.ธรรมศ...: "ผู้หญิงกับการเมือง : บทบาทในพรรคพลังธรรม (ม.ธรรมศาสตร์) "

ภูซางอำไพ: หลัง ๑๔ ตุลา : ขบวนผู้หญิงยิ่งก้าวรุดหน้า ชูแนว...

สุนี ไชยรส: หลัง ๑๔ ตุลา : ขบวนผู้หญิงยิ่งก้าวรุดหน้า ชูแนว...: "หลัง ๑๔ ตุลา : ขบวนผู้หญิงยิ่งก้าวรุดหน้า ชูแนวรบทางจิตสำนึกและวัฒนธรรม"

ภูซางอำไพ: ๖ ตุลา ๑๙ : เผด็จการไม่อาจลบเลือนจิตวิญญาณแห่งการ...

สุนี ไชยรส: ๖ ตุลา ๑๙ : เผด็จการไม่อาจลบเลือนจิตวิญญาณแห่งการ...: "๖ ตุลา ๑๙ : เผด็จการไม่อาจลบเลือนจิตวิญญาณแห่งการต่อสู้ของผู้หญิง คดี ๙ คอมมิวนิสต์อ้อมน้อย ตำรวจห้ามเยี่ยมห้ามประกัน โดยขังนักศึ..."

ภูซางอำไพ: เรารักธรรมศาสตร์ เพราะธรรมศาสตร์สอนให้เรารักประ...

สุนี ไชยรส : เรารักธรรมศาสตร์ เพราะธรรมศาสตร์สอนให้เรารักประ...: "‘ เรารักธรรมศาสตร์ เพราะธรรมศาสตร์สอนให้เรารักประชาชน ’ : เรียนรู้การต่อสู้เพื่อความเป็นธรรม "

ภูซางอำไพ: สามประสาน :นักศึกษา กรรมกร ชาวนา หลัง๑๔ ตุลา

สุนี ไชยรส: สามประสาน :นักศึกษา กรรมกร ชาวนา หลัง๑๔ ตุลา: "สามประสาน : นักศึกษา กรรมกร ชาวนา หลัง 14 ตุลา ฉัน กลุ่มผู้หญิงและกลุ่มอิสระต่างโลดแล่นไปกับกิจกรรมรณรงค์ประชาธิปไตยในต่างจังหวั..."

ภูซางอำไพ: กลุ่มอิสระ และการก่อตั้งกลุ่มผู้หญิงธรรมศาสตร์

สุนี ไชยรส: กลุ่มอิสระ และการก่อตั้งกลุ่มผู้หญิงธรรมศาสตร์: "วิทยากร เชียงกูล เขียนบทกวี เพลงเถื่อนแห่งสถาบัน ตั้งแต่ปี 2511 ฉันและเพื่อนๆประทับใจตั้งแต่ได้อ่านก่อนเข้ามหาวิทยาลัย เ..."

ภูซางอำไพ: ความรัก และการเคารพผู้หญิง : ตอน ๘ การหลอมรวมอุด...

สุนี ไชยรส: ความรัก และการเคารพผู้หญิง : ตอน ๘ การหลอมรวมอุด...: " ความรัก และการเคารพผู้หญิง พวกเราทั้งหญิงชายประทับใจ วัลยา ใน ความรักของวัลยา และ รัชนี ใน ปีศาจ ของ เสนีย์ เสาวพงศ์ ..."

ภูซางอำไพ: มุมมองนักสังคมนิยมเรื่องผู้หญิง :ศรีบูรพา จิตร ภู...

: มุมมองนักสังคมนิยมเรื่องผู้หญิง :ศรีบูรพา จิตร ภู... โดย สุนี ไชยรส

วันเสาร์ที่ 16 เมษายน พ.ศ. 2554

แม่ลูกอ่อนคนคุก


                         

ลูกชายคลอดเกือบหกโมงเช้าวันที่ 28 มกราคม 2530  ที่รพ.รามาธิบดี   เราเรียกเขาว่าบอร์นในความหมาย ‘ born  to  be  free – เกิดมาเพื่อเสรีภาพ แต่คนทั่วไปก็จะเข้าใจว่าชื่อ บอล ซึ่งเราก็ไม่ได้ติดใจอะไร    โตขึ้นลูกชายก็คลั่งไคล้ฟุตบอลจนใครๆว่าสมชื่อ     ขณะนั้นมีหนังสือหลายเล่มเขียนถึงสังคมนิยมในสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลง  ฉันชอบคำว่าพลวัต  (dynamics)  จึงนำมาตั้งชื่อลูกชาย











                 แล้วที่สุด   กฎหมายเผด็จการข้อหาคอมมิวนิสต์ ก็ถูกนำมาใช้อีกครั้ง   คราวนี้ฉันเป็นแม่ลูกอ่อนคนคุก   ขณะที่ส.ชนอยู่คุกมืดกับสหายผู้อาวุโสหลายคนเกือบหนึ่งปี   เรายิ่งตระหนักถึงธาตุแท้แห่งเผด็จการ     แม้ว่ายุคปี 2530 นั้นจะดูเหมือนว่าเป็นประชาธิปไตย     

                                                                บันทึกของแม่ลูกอ่อนคนคุก

                      เวลาตีสี่กว่าของวันที่  22 เมษายน 2530   ขณะที่เราสามคนพ่อแม่และลูกน้อยวัยสองเดือนครึ่ง  นอนหลับอยู่ชั้นล่างของบ้านที่เปิดประตูด้านนอกเหลือแต่บานมุ้งลวด  เนื่องจากอากาศร้อนอบอ้าวมาก  ก็ต้องตกใจตื่นด้วยเสียงตะโกนโหวกเหวกให้เปิดประตูดังลั่นที่รั้วหน้าบ้าน  พอฉันมองไปเห็นผู้ชายท่าทีดุดันยืนอออยู่นอกรั้วเต็มไปหมด    ฉันหันไปบอกสามีที่สะดุ้งตื่นขึ้นมาเช่นกันว่า  สงสัยเราจะถูกจับ’    และให้ไปเปิดประตูรั้ว
                   พวกเขากรูกันเข้ามาอย่างรวดเร็วเกือบยี่สิบคน กระจายกันไปเต็มบ้าน ท่าทางขึงขังราวกับมาจับโจรปล้นที่มีอาวุธร้ายแรง  บอกว่ามาจับเราสองคนข้อหาคอมมิวนิสต์ ฉันขอดูหมายจับแล้วก็ให้เขาค้นบ้านโดยดี  แต่ไม่ได้ตามไปด้วย ทั้งที่ควรจะพาเขาค้นทีละจุดด้วยตำรวจเพียง1-2 คน  เท่านั้น   ไม่ใช่ปล่อยพวกเขาตะลุมบอนกันค้นวุ่นวายไปหมด
                     ช่างภาพของตำรวจจะถ่ายรูปพวกเรา แต่ฉันไม่ยอม  บอกพวกเขาให้มีมารยาทกันหน่อย  เพราะฉันอยู่ในชุดสบาย ๆ แบบแม่ลูกอ่อน   เขาจึงยอมให้ฉันเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อน
                      ขณะที่ฉันละล้าละลังไม่รู้จะเก็บเสื้อผ้าของใช้ลูกอย่างไรดี   นายตำรวจคนหนึ่งที่ยังไม่รู้จักชื่อจนทุกวันนี้  มีน้ำใจแนะนำให้ฉันเอาข้าวของเด็กอ่อนที่มีอยู่ในบ้านไปด้วยให้มากที่สุดในวันนี้เพราะต่อไปจะขอเอาอะไรไปเพิ่มจะทำได้ยากมาก พร้อมกับสั่งให้หารถมาขนของเพิ่มอีกคันหนึ่ง  ฉันเลยได้โอกาสหอบของเกือบทุกอย่างของลูกชายไปด้วย นับแต่หม้อหุงข้าวไฟฟ้า  กระติกน้ำร้อนไฟฟ้า  เตาไฟฟ้า  หม้อ  ถ้วยชาม    กาละมังอาบน้ำ  กาละมังซักผ้า  ที่นอน  มุ้งครอบ  เปล  ผ้าอ้อม  ผ้าห่ม  เสื้อผ้า จนกระทั่งรถเข็นเด็ก ฯลฯ  ถ้าไม่ได้นายตำรวจคนนั้นลูกคงจะลำบากมากกว่านี้
                      พวกเราถูกนำตัวไปที่สำนักงานใหญ่ของสันติบาลที่ถนนเศรษฐศิริ   ตรงข้ามสถานีรถไฟสามเสน  มีหลายคนถูกจับมาข้อหาคอมมิวนิสต์เช่นกัน แต่เรารู้จักเพียงคนเดียว  นักข่าวที่ถูกกันอยู่ชั้นล่าง   พยายามจะถ่ายรูปฉันอุ้มลูกอยู่ริมหน้าต่างชั้นสอง  แต่ตำรวจสันติบาลคอยกันฉันให้พ้นหน้าต่างกลัวนักข่าวจับภาพแม่ลูกอ่อนได้  ฉันมัวกังวลกับลูก  จึงไม่ได้ต่อล้อต่อเถียงอะไร
                    ทุกคนถูกสอบปากคำ  เราสองคนปฏิเสธข้อหาคอมมิวนิสต์  ยอมรับว่าได้หลบภัยเข้าป่าจริง  สำหรับข้อหาว่าเราไม่รายงานตัวต่อทางราชการ เราก็ยืนยันอย่างตรงไปตรงมาว่า  เราไม่เคยมีความคิดจะต้องรายงานตัว  เพราะไม่ใช่ผู้หลงผิด   แต่เป็นการตัดสินใจของเราเอง    การจะให้เรารับสารภาพและยอมเซ็นว่าเป็นผู้หลงผิด  รวมทั้งให้พูดถึงข้อมูลสหายต่างๆ    เพื่อให้ตำรวจปล่อยตัวเรานั้น   เราไม่ทำอย่างแน่นอน
   ตอนบ่าย ทุกคนที่ถูกจับทั้งหมดสิบกว่าคนก็ถูกย้ายไปขังที่โรงเรียนพลตำรวจบางเขน  ฉันตระหนักดีว่าข้อหาคอมมิวนิสต์นั้นไม่มีทางต่อสู้อะไรหรอก แล้วแต่ผู้มีอำนาจ เพราะกฎหมายคอมมิวนิสต์ปี 2476  ขังฟรีโดยไม่ต้องส่งศาลอย่างน้อย 1 ปี   และมักจะตั้งพยานนับร้อย ๆ ปาก   กว่าจะสืบพยานเสร็จหมด   ก็ผ่านไปอีกหลายปี  บทลงโทษก็รุนแรงมาก  แม้จำนวนมากจะถูกปล่อยตัวในที่สุด ก็ต้องติดคุกฟรีอย่างน้อย  5-6 ปี    และจะไม่ได้รับการประกันตัว

                     ตำรวจที่ทำหน้าที่ผู้คุมของโรงเรียนพลตำรวจบางเขน ซึ่งเป็นคุกการเมืองมาหลายยุค  ทักฉันที่อุ้มลูกชายเดินตามผู้ต้องหาคนอื่น ๆ ว่า  หน้าตาคุ้น ๆ เคยมาติดคุกที่นี่ใช่ไหม ?’ ทำให้ฉันอดยิ้ม พร้อมกับพยักหน้ารับไม่ได้   ตำรวจคนนี้จำแม่นจริง ๆ  เพราะคดีอ้อมน้อยผ่านมา 11 ปีแล้ว  ตอนนั้นฉันยังเป็นสาวน้อยจบจากมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์เพียงสองปี    ขณะที่วันนี้ ฉันถูกจับในนามสหายแม่ลูกอ่อน
                   ถ้ายิ่งนึกถึงหนุ่มสาวหลายพันคนที่ถูกจับมาแออัดยัดเยียดในสถานที่แห่งนี้ เมื่อเหตุการณ์  6 ตุลา    ยิ่งทึ่งในความทรงจำของตำรวจทีเดียว
                   พอมาถึงชั้นสองที่มีประตูเหล็กกั้นอิสรภาพไว้ก่อนจะเข้าสู่ห้องขัง ปรากฎว่ามีผู้ต้องหาจากชั้นสามชั้นสี่มายืนออกันเต็มไปหมด  ส่งเสียงทักทายให้กำลังใจอย่างอบอุ่น  ฉันรู้จักรุ่นพี่สองสามคนคือพิรุณ  ฉัตรวนิชกุล และ สมชาย  ศรีสุนทรโวหาร    รู้ทีหลังว่าส่วนหนึ่งเป็นนักสู้เพื่อประชาธิปไตยที่โดนจับข้อหาคอมมิวนิสต์มาหลายรุ่น  และอยู่กันมาหลายปีแล้ว    อีกกลุ่มหนึ่งเป็นทหาร นักวิชาการ และพลเรือนในคดีกบฏ 9 กันยายน 2527 และฉันกับลูกก็ได้รับความเอื้ออาทรจากทุกคนตลอดช่วงที่อยู่คุกบางเขน
   ฉันถูกจัดให้นอนห้องเดียวกับพี่อ่อนศรี  สหายจากภาคเหนือที่ถูกจับมาพร้อมส.นพ -สามี   ทุกคนที่ถูกจับแม้จะไม่เคยรู้จักกับครอบครัวเรา  ต่างขมันขมีมาช่วยสามีฉันทำความสะอาดห้องแม่ลูกอ่อนเป็นอันดับแรก  เพราะสภาพห้องขังเป็นพื้นไม้เก่าๆที่ขึ้นชื่อว่ามีตัวเรือดแอบอยู่ในร่องพื้น ห้องน้ำพื้นปูนก็เขรอะขระสกปรกมาก  พวกเขาช่วยกันต้มน้ำเดือด ๆ มาราดลงในร่องพื้น  หวังว่าจะช่วยกำจัดตัวเรือดได้บ้าง
                   แม้ฉันจะเคยนอนคุกอยู่หลายเดือนเมื่อปี 2519  แต่คืนแรกในห้องขังครั้งนี้  ฉันก็นอนไม่หลับ   ลูกชายงอแงบ้าง  อาจจะทั้งแปลกที่  และไฟก็เปิดสว่างทั้งคืน   ที่สำคัญฉันมีลูกเล็ก ๆ ที่ต้องดูแล   ไม่เหมือนครั้งก่อนที่ฉันเป็นเยาวชนนักสู้
                   ฉันพยายามทำใจให้สบาย อย่างน้อยวันนี้ครอบครัวเรายังได้อยู่พร้อมหน้าพร้อมตา กินข้าวด้วยกัน   ช่วยกันดูแลลูก  แม้จะอยู่คนละห้องก็ตาม  เรายังมีพรุ่งนี้ที่จะได้ช่วยกันคิดต่อไป ...

   แต่ยังไม่ทันได้ปรึกษาอะไรกัน  มัวแต่ยุ่งเรื่องจัดแจงสถานที่พักให้ลงตัวและซักผ้าให้ลูก  พอกินข้าวเช้าซึ่งมีข้าวสวยกับต้มผักคนละถ้วยเรียบร้อย   ก็มีคำสั่งด่วนจากหัวหน้าสันติบาลให้ย้ายเฉพาะฉันกับลูกกลับไปอยู่ที่เศรษฐศิริเหมือนเดิม  โดยไม่มีเหตุผลอะไรทั้งสิ้น   แม้ว่าพวกเราทุกคนรวมทั้งผู้ต้องหาจากชั้นสามชั้นสี่จะมาช่วยคัดค้านแต่ก็ไม่มีประโยชน์อะไร   ฉันโกรธมากในความแล้งน้ำใจและใช้แต่อำนาจของสันติบาล  แต่ก็ต้องอพยพข้าวของทั้งหมดไปกับลูกตามลำพัง  พ่อเจ้าบอร์นได้แต่ให้กำลังใจว่าคุณผ่านเรื่องร้ายๆหนักๆมามากแล้ว  ผมเชื่อมั่นว่าคุณจะไม่เป็นไร   พวกเราจะพยายามหาทางให้คุณกับลูกได้กลับมาที่นี่
                   พอไปถึงเศรษฐศิริ  ฉันยิ่งประจักษ์แก่ใจในธาตุแท้ของผู้มีอำนาจที่ไม่เคยนึกถึงสิทธิของประชาชน และจิตใจของใครทั้งสิ้น   เขาสั่งย้ายฉันกับลูกมาเพียงเพื่อป้องกันนักข่าวที่ชอบไปทำข่าวคดีกบฏ  9 กันยายน  ไม่ให้เห็นฉันกับลูก   กลัวจะถูกวิจารณ์ที่จับแม่ลูกอ่อนมาขังไว้   แถมพูดอย่างไม่รับผิดชอบอะไรทั้งสิ้นว่าจะทำห้องแอร์ให้อยู่สบาย ๆ    แต่ตอนนี้อยู่ห้องทำงานของตำรวจไปก่อน
                     หลังจากโต้เถียงไปจนหมดหวังที่จะได้ย้ายกลับแล้ว  ฉันตัดสินใจทำตัวตามสบายเต็มที่เหมือนอยู่ในห้องพักส่วนตัว  คิดแต่ว่าทำอย่างไรที่จะดูแลลูกชายน้อยให้ดีที่สุด  เมื่อวันที่ถูกจับตั้งใจจะพาลูกไปหาหมอเพราะท้องเขาผูกมาหลายวัน ในเมื่อไม่มีโอกาสได้ไป  ฉันจึงใช้วิธีง่าย ๆ ที่แม่เคยบอก ฉันเหลาสบู่เป็นแท่งเล็กๆสวนก้นให้ลูก โดยมีตำรวจหญิงสองคนมีน้ำใจมาช่วยกลางห้องทำงานของตำรวจนั่นแหละ   และลูกชายฉันก็ประสบความสำเร็จอย่างดี     เป็นที่โกลาหลกันทั้งห้อง
   เมื่อตำรวจมาขอสอบเพิ่มเติม  ฉันยืนยันคำเดิมและขอให้การในชั้นศาล   มาทราบทีหลังว่า  เขาว่าฉันหัวแข็ง  เลยต้องสั่งสอนสักหน่อย   แต่เมื่อเห็นว่าคงไม่ได้ประโยชน์อะไรประกอบกับความโกลาหลในห้องทำงาน  ในที่สุดเย็นนั้นเอง  ฉันกับลูกก็ได้กลับไปกินข้าวเย็นพร้อมหน้ากับพ่อเจ้าบอร์นทุกคนที่โรงเรียนพลตำรวจบางเขนอีก   โดยไม่มีใครคาดฝัน




                   เราสองคน รวมทั้งญาติพี่น้องและแม่ของฉันถอนใจโล่งอกไปเปลาะหนึ่ง   อย่างน้อยก็มีเวลาได้เลี้ยงลูกอ่อนไปอีกสักพัก  เพราะขอประกันตัวแล้วตำรวจไม่ยอมนอกจากญาติพี่น้อง  ยังมีญาติพี่อ่อนศรีที่อยู่ด้วยกันคือพี่กรองแก้ว เจริญสุข ที่เคยทำนสพ.มาตุคามและอธิปัตย์ได้อาศัยในช่วงเกิด 6 ตุลา  คอยต้มซุปจากกระดูกหมูและตับใส่ใบตำลึง  เอาแต่น้ำซุปข้นๆมาให้ฉันทุกสองสามวันเก็บไว้ต้มข้าวอ่อน ๆ ป้อนลูกชาย   และยังมีของเยี่ยมที่ผู้ต้องหาอื่น ๆ คอยแบ่งให้  ชีวิตครอบครัวเราสามพ่อแม่ลูกก็พอจะประคับประคองไปได้
   ผู้คนหน้าเก่าๆยังอยู่เหมือนเดิมในคุกบางเขน โดยเฉพาะกลุ่มอาแปะชาวจีนและชาวเวียดนาม ที่โดนขังมายาวนานข้อหาต่างด้าวหลบหนีเข้าเมืองรอการเนรเทศ ตั้งแต่ฉันมาอยู่ในปี 2519  มาถึงวันนี้พวกเขาก็ยังไม่ถูกเนรเทศไปไหน  เพราะไม่มีประเทศใดรับ  แต่ละคนยิ่งแก่เฒ่าลงร่างกายซูบซีด  แข้งขาไม่แข็งแรง  เนื่องจากไม่ค่อยได้รับแสงแดด และไม่ค่อยได้ออกกำลังกาย
                   ทุกคนเมื่อรู้ว่าฉันถูกจับอีกครั้งพร้อมลูกอ่อน  ก็มาเยี่ยมให้กำลังใจ    ผู้หญิงเวียดนามที่มีลูกอยู่ด้วยมาร้องเพลงเวียดนามให้ฟังและสอนเราร้องเพลง
                    กลุ่มผู้ต้องหาคดีคอมมิวนิสต์หลายรุ่นนั้นคอยมาเยี่ยมเยียนให้กำลังใจเช่นกัน ลุงมาโนช เมธางกูร  อายุ 70 กว่าปีแล้วแต่ยังแข็งแรง และสุขนิยม  ออกกำลังกายและอ่านหนังสือเป็นประจำ

     ที่โรงเรียนพลตำรวจบางเขนรอบสองนี้ ฉันมีโอกาสได้คุ้นเคยกับทหารหลายคนในคดีกบฏ 9 กันยายน  ปกติฉันไม่ค่อยชอบสุงสิงกับทหารมากนัก  อาจเป็นเพราะมีภาพฝังใจมาตลอดตั้งแต่เหตุการณ์14 ตุลาคม2516 กรณีนองเลือด6 ตุลาคม 2519 รวมทั้งเรื่องราวการใช้อำนาจข่มเหงปราบปรามชาวบ้านในชนบท   และการจับกุมข้อหาคอมมิวนิสต์แบบเหวี่ยงแหมากมายในอดีต
    มีนายทหารยศร้อยเอกที่เป็นนายทหารคนสนิทของผู้นำคนหนึ่งของคดี 9 กันยายน  เป็นคนสระบุรีและมีชื่อโด่งดังในความกล้าหาญ  เขาคอยดูแลเอื้ออาทรต่อฉันกับลูก  เริ่มตั้งแต่ช่วยคนอื่น ๆ ผลักดันให้ตำรวจยอมผ่อนปรนให้ฉันเอาผ้าเด็กอ่อนไปตากแดดบนดาดฟ้าได้  ซึ่งก็นานทีเดียวกว่าจะยอมอนุญาต   จนต่อมาเราทุกคนสามารถออกไปเดินเล่นออกกำลังและรับแสงแดดได้บ้างวันละ 1-2 ครั้ง    ได้ตากผ้าแล้วยังมีปัญหา บางวันจะค่ำแล้วตำรวจยังไม่มาเปิดประตูชั้นสองให้เราขึ้นไปเก็บผ้าที่ตากไว้  ผ้าก็จะถูกหมอกน้ำค้างยิ่งแย่กว่าเดิม หรือตอนกลางวันมีฝนตกยิ่งไม่มีโอกาสออกไปเก็บผ้าได้เลย
     ร้อยเอกทหารคนนี้แหละคอยเก็บผ้าให้ฉันบ่อย ๆ  นำมาส่งให้ที่ชั้นสอง  ไม่เว้นแม้กระทั่งผ้าถุงของแม่ลูกอ่อน  ทำให้ฉันประทับใจและซาบซึ้งน้ำใจของเขามาก  เขามักจะพูดกับใครต่อใคร  รวมทั้งฉันเองในบางครั้งว่า  เขาเคยเลี้ยงลูกและรักลูกมาก  เขาจึงสงสารฉันกับลูก  ในขณะที่คดี  9 กันยายน  ไม่ถูกคุมขังเข้มงวดเหมือนคดีคอมมิวนิสต์    เขาจึงพยายามช่วยเรา
                    มีบางคนมาเล่าให้ฟังว่า เขาบ่นไม่เข้าใจว่าคอมมิวนิสต์เป็นอย่างนี้เองหรือ? เขาเคยถูกปลูกฝังให้เกลียดชังความเลวร้ายของคอมมิวนิสต์  แต่เขามาอยู่กับผู้ต้องหาคอมมิวนิสต์จำนวนมากที่นี่   มีผู้เฒ่าที่มีความรู้อย่างดีอายุ 70กว่าปี  มีนักวิชาการอย่างพิรุณ ฉัตรวนิชกุล มีผู้หญิงนิสัยดีอย่างพี่อ่อนศรี  ผู้ชายทุกคนก็ท่าทีสุภาพ  และยังมีแม่ลูกอ่อนอย่างฉันอีก    ทำให้เขาคลายความเกลียดและหวาดระแวงคอมมิวนิสต์ไปมากทีเดียว
    ฉันคิดว่า  คุกโรงเรียนพลตำรวจบางเขนก็มีข้อดีตรงนี้อยู่   มีผู้คนผ่านทางหลากหลายแนวคิด  หลายรุ่นหลายวัย ทั้งหญิงชาย  หลายระดับความรับรู้และเชื้อชาติ    และเมื่อมาเผชิญกับคำว่าติดคุก’  มีชะตากรรมร่วมกัน   มันก็ช่วยทำให้ความตระหนักในสิทธิผู้คนและจิตใจเอื้ออาทรต่อกันได้เติบโตขึ้น    มากบ้างน้อยบ้างแล้วแต่พื้นฐานแต่ละคน
   พี่สมชาย   ศรีสุนทรโวหาร  ผู้นำกรรมกร  ซึ่งเป็นผู้ต้องหาคดี 9 กันยายน ช่วยเอากล้องถ่ายรูปมาให้ฉันถ่ายรูปลูกชาย  ครอบครัวเรา  และเพื่อนร่วมชะตากรรมที่ชั้นสอง   ทำให้เรามีโอกาสได้บันทึกเรื่องราวในคุกไว้ได้บ้าง    รวมทั้งได้ถ่ายรูปลูกชายซึ่งจะไม่มีโอกาสอีกนานทีเดียว

                   ฉันถูกสั่งย้ายจากคุกบางเขนอย่างฉุกละหุกอีกครั้งหนึ่งวันที่ 18 มิถุนายน2530 ด้วยวิธีการที่แสนจะน่ารังเกียจ   คือสั่งฟ้องฉันก่อนคนอื่นในข้อหาคดีคอมมิวนิสต์อ้อมน้อย 9 คน ทั้งที่คดีนี้ถูกศาลยกฟ้องไปแล้วตั้งแต่ปี 2521  ฉันและเหน่งได้ประกันตัวและเข้าป่าไป  อีก7 คนที่เหลือติดคุกฟรีไปสองปีกว่า  ทนายทองใบ  ทองเปาด์  ทนายวสันต์  พานิชและคณะ  ต่อสู้จนศาลยกฟ้อง  แต่วันนั้นฉันกับเหน่งอยู่ในป่า  ไม่ได้มาฟังคำตัดสินของศาล   พวกเขาจึงหาเหตุฟ้องฉันอีกในคดีเดิมนี้
   พี่สาวและพี่ชายรู้ข่าวในเวลากระทันหัน พยายามติดตามไปที่ศาลเพื่อขอประกันตัวและมั่นใจว่าศาลต้องให้ประกันเพราะคดีนี้ยกฟ้องแล้ว แต่ที่สุดศาลก็ยืนยันไม่ให้แม่ลูกอ่อนประกันตัว   ฉันรออยู่ห้องขังใต้ถุนศาลจนหมดเวลาศาล  พร้อมกับความหวังที่ริบหรี่ลงเรื่อยๆ ฉันตระหนักถึงความโดดเดี่ยวในคุกหญิงลาดยาวดี   ครั้งนี้ยังมีลูกอ่อนไปด้วย   ฉันต้องเตรียมตัวเตรียมใจให้มากทีเดียว   พี่สาวอาสาจะช่วยเลี้ยงลูกให้   แต่ฉันสงสารลูกที่กินนมแม่มาตลอด  เขามีอาการแพ้นมผง  กินทีไรอาเจียนหนัก   และมั่นใจว่าอีกไม่นานคดีคงยกฟ้องแล้ว   ฉันตัดสินใจขอเลี้ยงลูกอีกต่อไป
                   ผู้คุมจากคุกยึดข้าวของเครื่องใช้ทั้งหมดส่งคืนญาติ   อนุญาตอย่างเดียวคือ  ผ้าอ้อมสามผืนเท่านั้น   ฉันจึงขอเอากระโถนของลูกเข้าไปด้วย  ซึ่งต่อไปกระโถนใบนี้จะมีคุณูปการอย่างใหญ่หลวงสำหรับชีวิตในคุกของเราแม่ลูกอย่างมาก
                   เป็นอันว่าครอบครัวของเราต้องแยกย้ายกัน รู้ข่าวต่อมาว่าพ่อบอร์นถูกส่งไปขังที่คุกมืดเศรษฐศิริ   ร่วมกับผู้ต้องหาที่เหลือทุกคน  ไม่ได้เห็นเดือนเห็นตะวันเลย    ส่วนพี่อ่อนศรีที่เคยอยู่ห้องเดียวกันก็ถูกส่งตามมาคุกลาดยาว   แต่ไม่ได้อยู่ด้วยกัน  เพราะฉันต้องอยู่ห้องแม่ลูกอ่อน  ส่วนเธออยู่ห้องขังเดี่ยว   ในฐานะคดีคอมมิวนิสต์  ซึ่งมีแนวคิดว่าห้ามยุ่งเกี่ยวกับใคร   เพราะกลัวไปเผยแพร่แนวคิดชั่วร้ายของคอมมิวนิสต์...    เขาลืมกลัวคอมมิวนิสต์แม่ลูกอ่อนไปเสียแล้ว!
                   ผู้คนที่ดีต่อฉันมาตั้งแต่คดีอ้อมน้อยกลับมาดูแลฉันกับครอบครัวอีก    ชัชรินทร์  ไชยวัฒน์จากนสพ.อาทิตย์ที่เคยมาทำข่าวเราตั้งแต่ยุคแรก  ส่งสุทธิลักษณ์  เจาะสุนทร  ไปเยี่ยมที่คุกลาดยาว  เสียงผู้คุมประกาศเรียก นิภาพรรณ  พัฒนไพบูลย์ไปเยี่ยมญาติ    ฉันรู้ทันทีว่าต้องเป็นเพื่อนรุ่นเก่า  วันนี้ไม่ใช่วันเยี่ยมญาติของฉัน  แต่ฉันก็เดินออกไปอย่างกระตือรือร้น  ไปยืนรอไม่เห็นมีใครมาเยี่ยมสักที  สังเกตเห็นผู้หญิงคนหนึ่งเดินไปเดินมาเมียงมองๆเพราะช่องหน้าลูกกรงฉันว่าง  ฉันจึงเอ่ยปากถามก่อน เธอเข้ามาแนะนำตัวและสัมภาษณ์สั้นๆ พูดกันไม่ค่อยรู้เรื่องเพราะตะโกนแข่งกันเซ็งแซ่  แต่ฉันก็รู้สึกซาบซึ้งในน้ำใจของคุณชัชรินทร์และคุณสุทธิลักษณ์ ซึ่งเป็นฉบับเดียวที่เขียนถึงเรื่องราวของฉันและลูกอย่างจริง จัง   [1]
                  ทนายทองใบ  ทองเปาด์  กลับมาเยี่ยมเยียนและเป็นทนายให้อีก   เสริมจากที่พี่การุณ  ใสงาม  มาช่วยว่าความในคดีอ้อมน้อยนี้ตั้งแต่ต้น แม่กานดา  แม่เตือนใจ  แม่เล็ก...กลับมาส่งข้าวส่งน้ำอีก  ตอนเจอเรากลับจากป่าใหม่ๆ  เท้าทั้งสองข้างฉันเป็นหูดเต็มไปหมด  ซึ่งฉันรักษาแบบพื้นบ้าน ด้วยการเอามีดใดให้เรียบ  เอาด่างทับทิมอุดเข้าไปสักสองสามวัน ปิดปลาเตอร์ จะหายเอง ทำเอาแม่ๆร้องห่มร้องไห้กันมาแล้วยกหนึ่ง  แต่ฉันรักษาเองแบบพื้นบ้านก็หายเรียบร้อยไป...   มาคราวนี้ยิ่งสงสารพวกเรา
                    ฉันอยู่คุกหญิงลาดยาว พ่อเจ้าบอร์นก็อยู่คุกมืดตลอดรวมเวลา 8 เดือนตั้งแต่เดือนก.ค.2530จนถึงเดือนมกราคม 2531 ครอบครัวเราสามคนพ่อแม่ลูก   จึงมีโอกาสกลับมาอยู่ด้วยกันอีกครั้งหนึ่ง!  [2]  
                    พอลงจากรถฉันเผชิญหน้ากับด่านแรกทันทีคือการตรวจภายใน ฉันพยายามท้วงเช่นครั้งก่อนว่าเป็นคดีการเมือง   แต่เขาไม่ฟังเสียง  ความเป็นแม่ที่ต้องปกป้องลูกทำให้ฉันไม่อาจเสี่ยงเผชิญกับเหตุการณ์ต่าง ๆ เหมือนวัยเยาว์ในครั้งก่อน    ฉันยอมให้เขาตรวจภายในด้วยความเศร้าใจ
                     การตรวจภายในทำเหมือนระบบการผลิตในโรงงาน   ทุกคนเรียงคิวกันเปลี่ยนเสื้อผ้าชุดผู้ต้องขัง  คือเสื้อคอกลมสีน้ำตาลและผ้าถุงสีน้ำตาล  นอนบนเตียงที่ใช้สำหรับตรวจภายใน  มีผู้คุมหญิงคนหนึ่งสวมถุงมือยาง   ล้วงเข้าไปอย่างรีบเร่งให้เสร็จเร็ว   ทีละคนๆต่อกันไป  ฉันวุ่นวายอยู่กับลูกจนแทบไม่สนใจและไม่อยากคิดว่า  เขาเปลี่ยนถุงมือบ้างหรือไม่  และทุกครั้งที่ฉันไปศาลกลับมาฉันก็ถูกตรวจเช่นนี้    ไม่คิดจะดิ้นรนอะไรอีก
                     เราถูกพาไปแดนแม่ลูกอ่อนและคนท้อง   โดยได้รับอนุญาตให้อาบน้ำอย่างเต็มที่ เพราะผู้ต้องขังขึ้นเรือนนอนหมดแล้ว   ห้องสำหรับแม่ลูกอ่อนและคนท้องรวมกันเป็นห้องขนาดใหญ่อยู่ชั้นสองของตึก  ผู้คุมเปิดประตูบอกผู้ต้องขังที่เป็นหัวหน้าห้องให้หาที่นอนให้ฉันกับลูก  และตอบคำถามว่าข้อหาคอมมิวนิสต์  ฉันพยายามทำใจให้สบาย  ยิ้มทักทายทุกคนที่หันมามองกันทั้งห้อง   คนเต็มไปหมด
แทบไม่เห็นช่องว่าง   แต่หัวหน้าห้องก็สั่งการ ให้มีสี่ช่อง’   พวกเธอขยับตัวกันเล็กน้อยก็ได้มาสี่ตารางของสำหรับฉันกับลูกนั่นเอง               
     จัดที่ให้ลูกนอนเสร็จ ก็จะมีที่สำหรับฉันนอนตะแคงอีกคนได้    แต่ฉันก็นั่งอยู่เกือบทั้งคืน   นอนไม่หลับ  ไฟที่สว่างทำให้มองเห็นหน้าผู้หญิงต่างวัย ต่างสีผิว ส่วนใหญ่เป็นคนตั้งท้องมากกว่าแม่ลูกอ่อน   มีรอยยิ้มอย่างมีไมตรีจากหลายมุมของห้อง
                     ต่อจากนี้     ฉันจะต้องต่อสู้กับชีวิตในโลกแคบ ๆ ที่นี่ให้ได้ดีที่สุดโดยลำพัง       ‘เพื่อลูก
 ครอบครัวของเรากลายเป็นแม่กับลูกเท่านั้น

                     ตีห้าผู้คุมเปิดประตู   ทุกคนจะต้องรีบลงไปอาบน้ำคนละหนึ่งถัง    ที่ผู้ต้องขังส่วนหนึ่งมีหน้าที่เวรตักมาให้พวกเราที่นั่งเรียงแถวรออยู่    ทุกคนเร่งรีบทำเวลา   ฉันเงอะ ๆ งะ ๆ ดูยุ่งไปหมด    อุ้มลูกลงจากชั้นสองมาเปิดตู้ลิ้นชักเล็ก ๆที่ผู้คุมจัดไว้ชั้นล่าง   ให้เก็บของใช้ส่วนตัวที่ใส่กุญแจกันไว้  ความอลหม่านเร่งรีบทำให้ฉันตื่นเต้นไปด้วย    ฉันไม่รู้จะเอาลูกไว้ที่ไหน  ลูกก็กำลังหลับ    ตัดสินใจเอาลูกนอนไว้กับพื้นปูนมุมหนึ่งใกล้ที่อาบน้ำ  ดังที่เห็นแม่ลูกอ่อนคนอื่นเขาทำกัน  วิ่งไปอาบน้ำและเปลี่ยนผ้าที่ให้ไว้คนละสองชุด    เอาผ้าเปียกมากองไว้ก่อน แล้วรีบกลับมาหาลูก  มีเสียงคนเตือนว่ารีบพาลูกไปกินข้าว   เพราะภายในสองโมงเช้าต้องเรียบร้อยทั้งหมด        ต้องอาบน้ำให้ลูกแล้วต้องเอาลูกไปฝากห้องเลี้ยงเด็ก    และจะต้องรีบไปทำงาน
                     เมื่อคืนหญิงสาวที่อยู่บนรถได้แนะนำว่า  เมื่อเอาเงินฝากผู้คุมไว้แล้ว   ฉันมีสิทธิขอเบิกเป็นคูปองวันละไม่เกิน 40 บาท โดยต้องเบิกตั้งแต่ตอนกลางคืนของทุกวัน    ฉันจึงมีคูปอง 40 บาท    รีบอุ้มลูกไปเรือนขายของซึ่งอยู่อีกด้านหนึ่ง   ใกล้โรงอาหารที่มีข้าวเลี้ยงสำหรับผู้ต้องขังที่ไม่มีเงินซื้อ
                    ไปถึงมีแถวยาวเหยียดรอซื้อข้าว  ฉันละล้าละลัง      คนท้องคนหนึ่งเข้ามาอาสาไปซื้อให้  พอได้ข้าวมาฉันแบ่งให้เธอครึ่งจาน  มิเช่นนั้นเธอก็จะไม่ได้กินอะไรเลย  เพราะไม่ทันเวลาในโรงครัว
                     เธอคนนี้อาสาจะซักผ้าและซื้อข้าวให้ทุกมื้อ   ท่าทีเธอซื่อและเศร้าสร้อย       เธอบอกว่าเธอถูกข้อหาลักทรัพย์จำนวนไม่มาก  แต่ไม่มีเงินประกันตัว  กำลังสู้คดีอยู่   ญาติพี่น้องฐานะยากจนอยู่ต่างจังหวัดไกลมาก  ไม่มีโอกาสมาเยี่ยม   ไม่สามารถส่งเงินมาให้เธอใช้สอย    เธออาศัยกินข้าวแดงในโรงครัว  และรับจ้างเล็ก ๆ น้อย    พอมีของใช้จำเป็นส่วนตัว
                     ความจริงแล้วมีห้องรับซักรีดผ้าโดยแรงงานผู้ต้องขังกลุ่มหนึ่ง  เป็นของเรือนจำ  ผู้ต้องขังที่มีเงินสามารถใช้บริการได้    แต่ฉันก็ตัดสินใจมอบให้เธอช่วยทำ   เพื่อพยุงการดำรงชีวิตของผู้หญิงท้องคนนี้เท่าที่พอช่วยได้    มารู้ทีหลังว่าพลาดไปเหมือนกัน เพราะที่นี่น้ำอัตคัดมาก   และเพื่อความสวยงามเป็นระเบียบของคุก   มีกฎห้ามตากผ้า   เว้นแต่ห้องซักรีด   แต่ในความเป็นจริงก็คือผู้ต้องขังที่ไม่มีเงินก็ต้องแอบซัก     เวลาพักเที่ยงและผู้คุมเผลอ    ก็ตากกับพื้นปูนร้อน ๆ ตามทางเดินโดยนั่งเฝ้าไว้  พอผู้คุมมาก็วิ่งเก็บ   พื้นที่สกปรกและการตากที่ไม่ถูกแดดดีพอ  ทำให้ผ้าฉันกับลูกคงสกปรกทีเดียว ....     แต่ฉันก็ทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ด้วยความสงสารเธอ   และคิดไปว่า  ช่างมันเถอะ !
                    ลูกฉันกำลังอ้วนน่ารัก  โกนหัวมาใหม่ ๆ  ทำให้มีผู้ต้องขังมาขออุ้มไปเที่ยวเกือบทุกเย็น   พอลูกเป็นหิดอย่างหนักทั้งตัว     ฉันเลยไม่รู้ว่าเพราะการซักผ้าแบบสกปรก  หรือเพราะไปเจอผู้ต้องขังเป็นหิด  แล้วติดต่อกันมา  รวมทั้งตัวฉันก็เป็นหิดด้วย ...
                     วันแรกนี้ฉันรีบพาลูกไปอาบน้ำอย่างง่าย ๆ เพราะน้ำเหลือน้อยมาก    และต้องเร่งเวลาให้ทันเอาลูกไปส่งศูนย์เลี้ยงเด็กที่อยู่ชั้นล่าง   เรือนจำจัดผู้ต้องขังจำนวนหนึ่งมาทำหน้าที่นี้     ส่วนแม่ไปทำงานตามแดนต่าง ๆ     และจะมีเวลาไปตามวันละ 2 ครั้ง เช้า-บ่าย      เพื่อให้แม่กลับมาให้ลูกกินนม     ฉันมองหน้าพี่เลี้ยงสองสามคนด้วยความวุ่นวายใจ     เธอจะดูแลลูกให้ฉันดีไหมหนอ?  พยายาม  ยิ้มแย้มพูดคุยกับพวกเธอด้วยความหวังว่า   ให้เธอสงสารลูกฉันด้วย !
     แล้วฉันก็ต้องรีบไปทำงาน   เริ่มจากการทำดอกไม้ประดิษฐ์   ที่ธุรกิจข้างนอกส่งมาให้ทำ    มีการแบ่งรายได้บางส่วนให้เฉพาะผู้ต้องขังที่ได้รับโทษเด็ดขาดแล้ว       แต่ค่าแรงที่ถูกมากและต้องแบ่งให้เรือนจำด้วย    ผู้ต้องขังคงจะไม่ได้มากนัก       ต่อมาฉันได้ไปตัดเส้นด้ายจากการตัดเย็บเสื้อกางเกงของกลุ่มที่เย็บผ้า
     ฉันกระวนกระวายรอให้ถึงเวลาถูกเรียกไปให้นมลูก   พอพี่เลี้ยงมาเรียกฉันรีบเดินแกมวิ่งกลับไป    แต่ดูพี่เลี้ยงก็ท่าทีใจดีอยู่   ไปได้ไม่นานก็ต้องกลับมาทำงานต่อ   พอเที่ยงฉันแทบไม่อยากไปกินข้าว   อยากอยู่กับลูก   แต่ก็ต้องพาลูกวิ่งไปกินข้าวที่เรือนขายอาหาร      คนละครึ่งจานกับคนซื้อเช่นเดิม   แล้วพอสามโมงกว่างานก็หยุด    ฉันรีบไปรับลูก    ทุกคนต้องรีบไปกินข้าวเย็น   อาบน้ำ  พอห้าโมงเย็นต้องขึ้นห้องขัง  
    พอถึงกลางคืน    ความเหน็ดเหนื่อยทั้งวันทำให้ฉันอยากนอนหลับให้สบาย      แต่ความ
วุ่นวายเรื่องลูกจะฉี่  หรืออึ   และน้ำที่อัตคัด     การซักผ้าที่แสนลำบาก    ทำให้ฉันนอนไม่ค่อยหลับเช่นเดิม      ในห้องนอนมีห้องส้วมไม่มีฝาอยู่ห้องหนึ่ง   มีเวรผลัดกันหิ้วน้ำมาสำรองสามถัง      และกระโถนเด็กของกลาง ๑ ใบ        ฉันอดกลั้นไม่เคยเข้าห้องน้ำเวลากลางคืน   แต่ลูกล่ะ.. ยังเล็กที่จะบอกห้ามไว้ได้    ทำให้ฉันสะดุ้งตื่นตลอดคืน     คอยจับลูกลุกมานั่งกระโถนที่นำมาด้วยและทำเสียงให้แกฉี่เป็นระยะ ๆ    บางครั้งแกปวดอึก็สามารถจับนั่งกระโถนทัน    ฉันเหมือนคนเป็นโรคประสาทในเรื่องนี้   เพราะเคยเจอปัญหาตอนเย็นก่อนขึ้นห้องขัง     ลูกไม่เคยฉี่หรืออึรดที่นอนอีกเลย   ทำให้ฉันอดขอบคุณกระโถนใบเล็กนี้ไม่ได้ !
                     ทุกวันพุธจะเป็นวันเยี่ยมของญาติ      พี่สาวต้องลางานเกือบทั้งวันเพื่อมาเข้าคิวรอยาวเหยียด   มีเวลาพูดคุยไม่เกิน 10 นาที   โดยมีช่องห่างระหว่างตาข่ายกั้นสองฝ่ายไกลเป็นเมตร  แถวที่เรียงยาวต่อ ๆ กัน   และเวลาที่จำกัด      ทำให้ทุกคนต้องตะโกนเสียงแข่งกันฟังแทบไม่รู้เรื่องอะไร    พี่สาวจะคอยเอายาเด็กและกับข้าวแห้ง ๆ ที่แม่พยายามทำมาฝาก   กะให้พอทั้งอาทิตย์   เช่น   หมูทอด  เนื้อแห้ง  พร้อมทั้งเงินฝากสำรองไว้ให้เบิกใช้     ฉันสงสารพี่และแม่มากที่ต้องมาเป็นภาระ
                     แดนแม่ลูกอ่อนและคนท้อง      มีคนไร้ญาติจำนวนไม่น้อยและไม่มีเงิน     ฉันไม่เคยเก็บกับข้าวของแม่ไว้ได้เลย    เพราะสงสารคนไม่มีญาติ    เรานัดแนะกันให้พวกเธอห่อข้าวแดงออกจากโรงครัวมา  และฉันก็จะนำกับข้าวทั้งหมดที่ได้แต่ละครั้ง       มานั่งกินรวมกันจนหมดไปทันทีในตอนมื้อกลางวันนั้นเอง
                    ผ่านไปเดือนกว่าๆ   ฉันผอมลงเรื่อย ๆ  เนื่องจากอาหารการกินไม่ค่อยพอแต่ละมื้อ   และ เหน็ดเหนื่อยจากความวุ่นวายแต่ละวัน    ทั้งพะวงตื่นตอนกลางคืน     ทำให้น้ำนมฉันแห้งลงจนแทบไม่มีนมให้ลูกกิน    ฉันพยายามเข้าคิวซื้อกล้วยน้ำว้าซึ่งนาน ๆ มีสักครั้งมาไว้บดให้ลูกกิน      แต่เช่นเดิม ...กล้วยหนึ่งหวีลูกมักจะได้กินไม่กี่ใบ    นอกนั้นก็แบ่งปันกันไป
                      เมื่อประกอบกับสงสารแม่และพี่สาวที่ต้องเป็นภาระในการทำกับข้าวมาฝาก    และเสียเวลามาเยี่ยมทั้งสองคุก    ฉันตัดสินใจกินข้าวแดงในโรงครัวกับผู้ต้องขัง      นำเงินประจำวันมาไว้ซื้อนมกล่องซึ่งมีขายเฉพาะแลคตาซอย    กับกล้วย  และซื้อของใช้ต่าง ๆ  เก็บสำรองในตู้ไว้       รวมทั้งจ่ายค่าซักผ้า ลูกชายฉันจึงเป็นเด็กที่ดูดนมขวดไม่เป็น    เพราะพ้นจากนมแม่    ก็เป็นนมกล่องดูดจากหลอดเลย 
                    กับข้าวในโรงครัวส่วนใหญ่    คือแกงส้ม    ต้มจับฉ่าย  และน้ำพริกปลาร้าหลนทรงเครื่อง(หน่อไม้)    อาหารหลักคือผัก  เนื้อ  ปลา  จะมีน้อยมาก   แต่ก็มีสภาพดีกว่าและสะอาดกว่าสมัยฉันอยู่ครั้งแรก    ที่ตอนนั้นใช้ถังแดงตัดครึ่งมาใส่กับข้าว  ดูจะเป็นสนิมจับทีเดียว   เช่นเดียวกับโรงเรือนต่าง ๆ  ที่มีมากและดูใหม่ขึ้น   แต่อย่างไรก็ตาม   ก็ยังไม่ใช่อาหารการกินที่จะถือว่าดีพอ     ข้าวแดงมีกรวดน้อยลงแต่ยังต้องระวังเวลาเคี้ยว    ฉันเป็นคนที่กินง่ายอยู่แล้ว   เมื่อสามารถประหยัดเวลาได้มาก   ทำให้มีเวลาคุยเล่นกับผู้ต้องขังแดนต่าง ๆ ได้มากกว่าเดิม
                   อย่างไรก็ตาม  น้ำนมเมื่อแห้งไปแล้วยากที่จะกลับมาอีก      ลูกชายจึงกินนมแลคตาซอยเป็นหลักกับกล้วยบางเวลา   บางครั้งตอนเช้าฉันพาลูกไปกินอาหารฝรั่งคือไข่ดาวขนมปังกับไส้กรอก ที่บริการฝรั่งจำนวนหนึ่งในคุก    เพราะคิวจะสั้นกว่าข้าว    และฉันพบว่าสิ่งดี ๆ อีกอย่างที่นำมาช่วยให้ลูกแข็งแรงได้อีก      คือข้าวแดงจากโรงครัว    ซึ่งมีนโยบายพิเศษต่อแม่ลูกอ่อนที่ให้ไข่ต้มตอนเย็นแก่เด็กคนละ 1 ฟอง  พอห้าโมงเย็นเรียกแถวขึ้นเรือนนอน  ผู้คุมอนุญาตให้แม่ลูกอ่อนถือชามข้าวไปป้อนลูกต่อได้   ทุกเย็นฉันจึงมีถ้วยข้าวแดงชามเล็ก ๆ   ใส่ซอสแม็กกี้นิดหน่อยกับไข่ต้ม ฟอง    ไปใช้เวลาสบาย ๆ   เคี้ยวข้าวให้ลูกแบบโบราณทีเดียว   เพราะข้าวแดงจะแข็งมากสำหรับเด็กอ่อน  แต่ ลูกชายท่าทางจะชอบทีเดียว
   จัดการปัญหาการอยู่-การกิน  พอลงตัวบ้างแล้ว     แต่ฉันพบปัญหาใหม่ ใกล้เวลาลูกต้องฉีดวัคซีนตามที่กำหนดมาตรฐานของเด็ก ๆ ทั่วไป    แต่ในเรือนจำไม่มีการฉีดวัดซีน      ฉันพยายามถามปัญหานี้แต่ไม่มีใครให้คำตอบได้   ฉันได้แต่ปลอบใจตัวเองว่า   อีกไม่นานคดีอ้อมน้อยที่ฟ้องฉันคงจะต้องยกฟ้องเช่นเดียวกับ  7 คนที่ปล่อยตัวไปแล้ว    คงยังไม่สายไปในการฉีดวัคซีน !
    วันหนึ่งลูกป่วยเป็นไข้     ยาที่พี่สาวเคยซื้อมาฝากไว้ให้หมดไป   โดยที่ฉันลืมไม่ได้เตรียมสำรองไว้  ในเรือนจำญาติสามารถฝากยาสามัญประจำบ้าน   หรือยาพิเศษที่หมออนุญาตไว้กับห้องพยาบาล  ซึ่งอยู่ใกล้เรือนแม่ลูกอ่อน   ไปขอเบิกได้ง่าย   แต่ฉันไม่เคยสังเกตว่าผู้ต้องขังที่ไม่มียาฝากไว้จะทำอย่างไร     เมื่อถามผู้ต้องขังด้วยกัน    เธอบอกว่าไปขอได้ที่เรือนพยาบาลเช่นกัน
                    ฉันฝากลูกไว้และไปที่เรือนพยาบาลตามเวลาจ่ายยาที่กำหนดไว้     ถ้าไม่เพราะห่วงลูกที่ไข้อยู่  ฉันคงถอยหลังกลับ    เพราะผู้ต้องขังต้องนั่งเรียงแถวยาวกับพื้นรอคิว    พอแถวขยับก็คุกเข่าขยับแถวขึ้นไปทีละนิดๆ จนไปคุกเข่ารับยาจากผู้คุมด้านหน้าแถว เพียงเพื่อได้ยาแก้ไข้หรือยาจำเป็นเล็ก ๆ น้อย ๆ    ฉันสัญญากับตัวเองว่า   ฉันจะไม่ปล่อยให้ยาจำเป็นใด ๆ ของลูกหมดอีกเลย!

                     วันหนึ่ง   พวกเราก็เศร้าสลดใจทั้งห้อง    คนท้องคนหนึ่งถึงเวลาเจ็บท้องจะคลอด    ห้องคลอดอยู่ติดกับเรือนแม่ลูกอ่อน   เพราะเรือนจำจะให้คลอดข้างในเว้นแต่จำเป็นที่สุด  เธอคลอดยาก  กว่าจะไปถึงหมอข้างนอก   ก็เสียชีวิตทั้งแม่ลูก    คนท้องทุกคนรวมทั้งคนที่คอยซักผ้าให้ฉันน้ำตาซึมกันไปหลายวัน   คงนึกถึงวันที่เธอจะต้องคลอดกันบ้าง
    ชีวิตประจำวันของฉันก็ดูไม่ยุ่งยากนัก   ลูกชายเป็นที่รักของผู้ต้องขังจำนวนมาก  ช่วงนั้น แม่ชม้อยที่โด่งดังก็อยู่ในคุก   น้องสาวของเธอเอ็นดูลูกฉัน   ซื้อกล้วยมาฝากเป็นครั้งคราว  เช่นเดียวกับผู้ต้องขังหลายคนที่คงคิดถึงลูก    มาขออุ้มไปเดินเล่นช่วงเย็น ๆ ก่อนขึ้นเรือนนอน   ฉันรู้จักผู้ต้องขังมากมายโดยเฉพาะแดนยาเสพติด   ซึ่งครั้งนี้กลับกันจากครั้งแรก  ผู้ต้องขังคดียาเสพติดหลายคนคอยช่วยฉัน    และหนึ่งในจำนวนนั้นทุกคนเรียกกันว่า  พ่อเจ้าบอร์น        
                     เธอท่าทางบึกบึนมาคอยช่วยดูแลเจ้าบอร์นทุกวัน    เธอเคยทำงานอยู่ในสลัมคลองเตย   ช่วยงานกลุ่มครูประทีป    เข้าใจดีถึงข้อหาคอมมิวนิสต์    ส่วนเธอโดนข้อหายาเสพติด    และมีเรื่องราวเล่าขานกันในฐานะเป็น ทอม     ตอนพักเที่ยงและตอนเย็น   เธอจะปลีกตัวจาก คู่ขา ที่คนเรียกกัน    มาคอยหาน้ำให้ฉันถ้าลูกฉี่หรืออึ     เธอเป็นคนกว้างขวางและมีท่าทีที่คนเกรงใจ    ความที่ถูกเรียกกันว่า ทอม   ทำให้เธอได้ฉายา พ่อเจ้าบอร์น    ฉันคอยหาของใช้จำเป็นแบ่งปันให้เธอบ้าง
      แล้วเย็นวันหนึ่งไม่รู้ว่าเฉลียวใจอย่างไร    ฉันหอบเอาสบู่  ยาสีฟัน ผ้าอนามัย  ของใช้ที่ตุนไว้ในลิ้นชักเล็ก ๆ ของฉันให้เธอจนหมด    ช่วงนี้มีข่าวลือบ่อยครั้งว่า    คดียาเสพติดจะถูกย้ายไปอยู่เรือนจำพิเศษ   คดียาเสพติดที่ อ.ธัญบุรี  คลองห้า  ปทุมธานี ซึ่งจะมีการย้ายเป็นละลอก ๆ เสมอ     คืนนั้นประมาณเที่ยงคืน  เสียงเอะอะจากการเคลื่อนย้ายผู้ต้องขังยาเสพติดไปตามทางเดินตรงกลาง       ดังมาถึงเรือนแม่ลูกอ่อนที่อยู่ไม่ไกลนัก    ฉันยืนขึ้นมองดูเงาตะคุ่ม ๆ ทั้งหมดที่เดินออกไปด้วยความรู้สึกที่เหงาขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก      ถ้าไม่มีพ่อเจ้าบอร์นคอยช่วยบ้างที่ผ่านมาคงลำบากเหมือนกัน   น่าสงสารที่เธอไปติดยาเสพติด          ทำให้ต้องมาลำบากอย่างนี้     หวังว่าเธอจะพอมีชีวิตที่  พอมีความสุข’  และมีโอกาสมีชีวิตใหม่ที่ดีกว่านี้ในอนาคต...
     อีกคนหนึ่งที่ทำให้ฉันเห็นภาพชัดเจน    ถึงกระแสแห่งความนึกคิดของผู้คนหลังกรณี   6ตุลา   วันหนึ่งกลับจากกินข้าวเที่ยงในโรงครัว    ผ่านเด็กสาวคนหนึ่งยืนตากแดดอยู่    เธอถูกลงโทษจากผู้คุม   ฉันหยุดทักทาย    แต่เธอกลับให้กำลังใจฉัน  บอกว่า พี่ ไม่ต้องกังวลมาก    อีกหน่อยคงได้ออกไป   หนูเห็นใจมาก   พี่สาวหนูก็เข้าป่า  ตอนนี้กลับมาแล้วเหมือนกัน

     วันหนึ่งก็มีการทำความสะอาดคุกกันครั้งใหญ่   เพราะจะมีรัฐมนตรี ข้าราชการชั้นผู้ใหญ่  และนักข่าวเข้ามาเยี่ยมคุก     ผู้ต้องขังถูกระดมกันขัดพื้นปูน    ถังน้ำ    ส้วม     ตกแต่งสนามหญ้า    สวนดอกไม้    เรียกได้ว่าทุกซอกทุกมุมกันทีเดียว
                     ฉันและกลุ่มแม่ลูกอ่อนได้รับมอบหมายให้ทำงาน     ที่ฉันไม่เคยคาดฝันมาก่อนว่าจะพบเจอ    ก้อนอิฐที่นำมาตกแต่งกั้นเป็นสวนดอกไม้      โดยฝังดินเอียง ๆ ไว้ครึ่งก้อนเหมือนอย่างที่ชอบทำกันนั้น    เริ่มเก่าเขรอะด้วยคราบดินและตะไคร่น้ำ   ก็ถูกดึงขึ้นมาขัดทำความสะอาดให้ดูใหม่ขึ้น    ก่อนฝังลงดิน    ฉันนึกถึงวันแรก ๆ ที่มาถึง   ตอนเย็นจะมีเวลานิดหน่อยพาลูกเดินเล่น  พาลูกมานั่งเก้าอี้ชิงช้าที่มีอยู่ตัวหนึ่งหน้าเรือนนอน     เพื่อน ๆ ผู้ต้องขังรีบมาเรียกฉันออกไปอย่างตกใจ บอกว่า  ห้ามนั่ง    ผู้คุมกลัวมันจะเก่าหรือพังไป!
                     วันที่คณะผู้ใหญ่เข้ามา   ฉันนั่งทำงานอยู่ในกลุ่มผู้ต้องขัง     มองดูทุกคนเดินผ่านไปตามจุดต่าง ๆ    คิดในใจว่า    จะมีใครรู้บ้างไหมหนอว่าคนคุกจริง ๆ เป็นอย่างไรกันบ้าง ? 
                      มีบางวันฉันที่กลับมาให้นมลูก   พบอาจารย์จากมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ที่เข้าไปช่วยแนะนำดูแลห้องแม่ลูกอ่อน      ฉันรู้สึกดีใจที่อย่างน้อยยังมีคนภายนอกเข้ามาคลุกคลีกับชีวิตจริง ๆ ของผู้ต้องขังบ้าง  ไม่ใช่ผ่านไปมาอย่างเดียว   แม้จะรู้ว่าอาจารย์ก็ไม่อาจช่วยอะไรได้มากนักก็ตาม 
     ความทุกข์ยากของผู้คนที่ปรับทุกข์กันไปทุกวัน    ทำให้ฉันตระหนักว่า คนคุก" ไม่น่ากลัวอย่างที่คนรู้สึก    หลายรายเพียงเพราะไม่มีเงินประกันตัวต้องมาต่อสู้คดีอย่างอนาถา  ทั้งที่คดีเล็กน้อยมาก  มีผู้คนมากมายที่มีน้ำใจต่อกัน   นอกจากช่วยแม่ลูกอ่อนเลี้ยงลูกบ้าง    ซื้อกล้วยขนมมาฝากเด็ก ๆ กันบ้าง   เวลาฉันไปศาล  จะต้องฝากลูกกับคนท้องบางคนตอนเช้าเย็นนอกเวลาศูนย์เลี้ยงเด็ก     และยังไม่พอต้องมีแม่ลูกอ่อนมาช่วยเสียสละให้ลูกฉันกินนมเธออีกด้วย     ตอนน้ำนมเริ่มแห้ง    ลูกฉันก็อาศัยกินนมจากแม่ลูกอ่อนหลายคน  จนมีปัญหาเมื่อเขาจำหน้าแม่ได้ดี    เขาไม่ยอมกินนมจากอกคนอื่น    ได้แต่ร้องไห้หิวนมอย่างน่าเวทนา
     ในคุกมีบางคนที่เห็นแก่ตัว   ชอบข่มเหงหรือเอาเปรียบคนอื่นอยู่บ้าง     ฉันโชคดีที่พบคนดี ๆ หลายคน    มีคนท้องคนหนึ่งที่เรียนระดับวิทยาลัย   เธอโดนคดีเช็คเด้ง   เป็นคนนิสัยดี     พูดจามีเหตุผลน่าฟัง  แม้แต่หัวหน้าห้องขังก็เกรงใจ    เธอคอยแนะนำไม่ให้คบกับบางคนที่ชอบหลอกลวง และคอยคุ้มกันถ้ามีบางคนท่าทีไม่ดีต่อฉัน

     แล้วก็มีการร้องเรียนต่อผู้คุม    ว่าหัวหน้าห้องขังทำตัวไม่ดีต่อผู้ต้องขัง   ฉันมาทราบข่าวจากผู้ต้องขังชั้นเยี่ยมบางคนว่า   มีผู้คุมบางคนบ่นว่า     เพราะมีคอมมิวนิสต์แม่ลูกอ่อนมาอยู่ด้วย          เลยทำให้กระด้างกระเดื่อง    แต่เนื่องจากมีเรื่องราวข้อเท็จจริงชัดเจน    ไม่นานหัวหน้าซึ่งติดคดียาเสพติดห้องก็ถูกย้ายไปธัญบุรี     คนท้องคดีเช็คที่เป็นที่ยอมรับของทุกคน    ก็ได้รับการแต่งตั้งเป็นหัวหน้าห้องแทน      ซึ่งความยุติธรรมและมีนำใจของเธอก็ทำให้ทุกคนรู้สึกปลอดภัยขึ้น

                    ศาลยกฟ้องคดีคอมมิวนิสต์อ้อมน้อย     แต่..ฉันเจอข้อหาคอมมิวนิสต์ซ้ำอีก
     ในวันที่ศาลยกฟ้องคดี    กว่าฉันจะกลับจากศาลมาถึงคุกก็สองทุ่มแล้ว    ทุกคนรู้ตั้งแต่ก่อนฉันกลับมาถึงห้อง   พากันตื่นเต้นดีใจกับฉัน   ผู้คุมไปหาเสื้อเก่า ๆ ชุดหนึ่งมาให้ใส่     เพราะชุดเก่าที่ผู้คุมเก็บไว้ให้วันเข้ามาคุกเหม็นมาก    เนื่องจากลูกชายอาเจียนใส่    และไม่ได้มีโอกาสซักเลย         พี่สาวที่ไปรอฟังอยู่ที่ศาลก็มารออยู่หน้าเรือนจำเพื่อรับตัวกลับบ้าน    ฉันอาบน้ำแต่งตัว     อุ้มลูกลาคนนั้นคนนี้    จนคนพากันหลับเกือบหมด     ผู้คุมก็ยังไม่มาเปิดประตูให้
                    หกทุ่มผู้คุมมาเรียกฉันออกไป   ฉันอุ้มลูกเดินไปตามทางออกสู่ประตูใหญ่หน้าคุกอย่างลิงโลดใจ    ลูกแม่!เราได้กลับบ้านแล้ว     พ่อเป็นอย่างไรบ้างหนอ?   แม่จะพาไปเยี่ยมพ่อ?
                     แทนที่ฉันจะพบพี่สาว   กลับพบตำรวจแทน     มารู้ทีหลังว่าพี่สาวพี่ชายรออยู่จนเกือบห้าทุ่ม    เข้าใจว่าผู้คุมคงเห็นว่าดึกแล้ว    น่าจะปล่อยตัวพรุ่งนี้เช้า   จึงกลับบ้านก่อน      ตำรวจมาอายัดตัวฉันไว้   บอกว่าตำรวจสันติบาลฟ้องฉันต่อด้วยข้อหาคอมมิวนิสต์    ร่วมกับสามีและพวกที่ถูกจับใหม่วันนั้นอีก    ฉันพูดไม่ออก    ความหวังจะได้ดูแลลูกให้ดีหมดสิ้นไป 
    ตำรวจจากสถานีประชาชื่นใกล้คุกลาดยาว    พาฉันกับลูกมาที่ห้องขังตำรวจซึ่งสกปรกและไม่มีมุ้ง    ยุงบินหึ่งเต็มไปหมด    ฉันขอร้องตำรวจว่า    ช่วยไปซื้อยากันยุงให้ฉันหน่อย เพราะไม่มีญาติมาด้วย    ลูกฉันยังเล็กจะโดนยุงกัด       ตำรวจบนสถานีเมินเฉยต่อคำขอร้อง    ฉันโกรธแค้นตำรวจที่โหดร้าย   แล้งน้ำใจต่อผู้ต้องหา   และโดยเฉพาะต่อเด็กเล็ก ๆ คนหนึ่งที่อยู่ตรงหน้าได้ลงคอ     แต่กลั้นมิให้น้ำตาไหล    ฉันต้องไม่ให้พวกบ้าอำนาจเช่นนี้มาดูถูกฉันได้
                      คืนนั้นฉันอาศัยผ้าโบกไล่ยุงให้ลูกทั้งคืน   ไม่ยอมหลับ   แต่ถึงปานนั้น   ตอนเช้าลูกชายก็มีตุ่มแดงจากยุงกัดไม่น้อย   พอสายของวันนั้น   ฉันกับลูกก็ได้กลับไปคุกลาดยาวอีก    โดยญาติพี่น้องไปรับฉันตอนเช้า    พบว่าฉันกลับเข้าคุกไปแล้ว!

                   ห้องแม่ลูกอ่อนตกใจที่เห็นฉันกลับมา     แต่ทุกคนต่างปลอบใจฉันให้อดทนต่อไป     เขาบอกว่าคดีฉันเป็นคดีการเมือง    เดี๋ยวก็ได้กลับบ้าน!
                     อีกไม่กี่วันฉันก็ต้องดีใจกับคนท้องที่ซักผ้าให้ฉันตลอดมา    ศาลยกฟ้องคดีเธอ   ตอนนั้นเธอท้องแก่มากแล้ว   กำลังหวั่นไหวว่าจะต้องคลอดลูกในคุก     ทั้งในสภาพไร้ญาติ และขาดแคลนเงิน    ฉันดีใจกับเธออย่างที่สุด    เพราะคดีเธอไม่ควรจะได้มาอยู่ที่นี่เลย      ทำไมโลกถึงโหดร้ายกับคนจน ๆ เหลือเกิน    เธอต้องมาติดคุกเกือบปีทั้งที่ไม่มีความผิด      เด็กในท้องของเธอก็ไม่ได้รับการดูแลเช่นคนท้องทั่วไป    ขอให้เธอโชคดี
     เด็กหญิงน้อย ๆ อีกคนหนึ่งที่มาคลอดอยู่ในคุก    เป็นเด็กน่ารักช่างพูดช่างจา      ผู้คนชอบซื้อขนมให้เธอกิน    พอดีเธออายุสามขวบ     กฎของเรือนจำต้องให้ส่งออกไปข้างนอก     ถ้าไม่มีญาติก็ส่งให้กรมประชาสงเคราะห์ดูแลไว้ก่อน     แม่เธอยังต้องติดคุกอีกนาน
                       ผู้คนเปลี่ยนหน้ากันไปบ้าง   ชาวตะวันตกที่มีลูกก็ได้รับการเจรจาให้ส่งตัวกลับประเทศได้     เธอดีใจมาก     ผู้ต้องขังชาวตะวันตกทุกคนจะแสดงความเห็นใจฉัน          เข้าใจกันดีว่าข้อหาคอมมิวนิสต์ คือการไม่เห็นด้วยกับรัฐบาล     เป็นคดีการเมืองที่ไม่ควรถูกจับเช่นนี้    เรือนนอนแม่ลูกอ่อนแน่นบ้างหลวมลงบ้าง     แต่ไม่กี่วันหน้าใหม่ ๆ ก็จะเข้ามาแทน    ช่วงคนแน่น ๆ เหยียดขาไม่ได้    เพราะจะมีคนมานอนขวางแทรกอีกแถวหนึ่ง      ต้องขด ๆ งอ ๆ แบ่งที่กันนอน          แต่หัวหน้าห้องก็พยายามทำให้ทุกคนมีที่นอนจนได้     ช่วงไหนหลวมลง    เราก็นอนหงายสบาย ๆ เหยียดแข้งขาได้เต็มที่      แม่ลูกอ่อนก็ยังป้อนข้าวลูกตอนค่ำ...   ชีวิตเช่นนี้คงดำเนินต่อไปซ้ำแล้วซ้ำเล่า
                   ความตั้งใจที่จะเลี้ยงลูกด้วยตัวเอง    และเชื่อมั่นว่าคงเป็นเวลาอีกไม่นานนัก        เมื่อถูกอายัดตัวเช่นนี้   ฉันจึงตัดสินใจส่งลูกไปอยู่กับแม่และพี่สาว    ลูกชายอายุ 9  เดือน  ต้องไปฉีดวัคซีน    และดูแลรักษาโรคหิดที่เริ่มแสดงอาการ    ทั้งลูกก็ผอมลงมากในตอนนี้ 
                    วันอุ้มลูกไปให้พี่สาว   ลูกชายร้องไห้ดิ้นรนเพราะไม่คุ้นหน้า      ฉันเดินกลับเข้าคุกน้ำตานองหน้า     ตั้งแต่ถูกจับเข้าคุกมาทั้งสองครั้ง     ฉันไม่เคยเสียน้ำตาแม้แต่นิดเดียว      ไม่ว่าจะอยู่ในสภาพอย่างใดก็ตาม
                    เพื่อนผู้ต้องขังเห็นฉันเดินร้องไห้กลับมา  พากันมาปลอบโยน  ฉันไม่เคยคิดเลยว่า  ความ ผูกพันแม่ลูกจะทำให้ฉันอ่อนแอขนาดนี้
                    ฉันกล่าวลาทุกคน    ฉันไม่มีลูกอีกแล้ว    ไม่มีสิทธิอยู่เรือนแม่ลูกอ่อน       ฉันต้องย้ายไปอยู่ห้องขังคอมมิวนิสต์   ที่เป็นห้องเฉพาะอีกแดนหนึ่ง   และจะไม่มีสิทธิพูดคุยกับใครอีกต่อไป    ฉันได้แต่ขอบคุณและให้กำลังใจทุกคน    หวังว่าทุกคนจะเข้าใจผู้ต้องหาคอมมิวนิสต์ดีขึ้น      รวมถึงถ้าอาจจะมีต่อไปในอนาคต!
                    ฉันได้อยู่กับพี่อ่อนศรี  ที่เคยอยู่ด้วยกันที่คุกโรงเรียนพลตำรวจบางเขนอีกครั้งหนึ่ง    เธอมาอยู่หลายเดือนแล้ว  แต่ไม่มีสิทธิลงมาเดินข้างล่าง    นอกจากเวลาผู้ต้องขังขึ้นเรือนนอนหมดแล้ว    จึงได้ลงมาอาบน้ำ     ส่วนอาหารการกินจะมีคนนำอาหารจากโรงครัวมาให้ทุกมื้อ   ถ้าอยากซื้ออะไรเพิ่มเติมก็มีสิทธิซื้อได้
                    ห้องเฉพาะที่อยู่กันสองคนแม้ไม่กว้างนัก     แต่ก็แสนสบายเมื่อเทียบกับเรือนแม่ลูกอ่อน  เวลาอาบน้ำก็มีน้ำเต็มเปี่ยมให้อาบอย่างเต็มที่     ไม่ต้องแย่งกับใคร      กลางวันก็ไม่ต้องไปเข้าแถวแย่งใครซื้ออะไร   เพราะให้ลงไปซื้อก่อน   งานก็ไม่ต้องทำ    แต่มันก็เหงาเสียเหลือเกิน     ยังดีมาอยู่ด้วยกันสองคนพอได้คุยกันบ้าง   ไม่มีหนังสือให้อ่าน   ไม่มีสิทธิฟังข่าวใด ๆ ทั้งสิ้น  เราหาเรื่องมาพูดคุยกันทั้งวัน    พอตกเย็น ๆ ก็มานั่งอยู่ชานข้างนอก     มองดูผู้ต้องขังเดินผ่านไปโรงครัวหรือเดินเล่นหยอกล้อกัน    พวกคนท้องและแม่ลูกอ่อน    รวมทั้งผู้ต้องขังอื่น ๆ     ก็มายื่นหน้ายื่นตาแอบทักทายฉันคนละนิดคนละหน่อยทุกวัน    เพราะผู้คุมห้ามมาคุยด้วย 
     เราสองคนไปสระผม-ซอยผมบ้าง     เพราะเป็นช่องทางหนึ่งที่จะได้ฆ่าเวลาไป     และได้
รู้จักชีวิตในคุกมากขึ้น     ช่างทำผมที่นี่ฝีมือดีเป็นช่างมาจากข้างนอก    ในคุกจะให้คนที่มีฝีมืออยู่แล้วทำงานที่มีอยู่    คนไม่มีฝีมือก็ทำแบบใช้แรงงานทั่วไป    ช่างที่ทำผมให้ฉันบอกว่าห้ามเลือกทรงให้เชื่อช่าง   แต่ฝีมือเธอก็ดีมาก   ผู้คุมก็มาทำผมกันที่นี่   คนที่มีเงินสามารถมาทำผมได้บ่อย ๆ แม่ชม้อยก็เป็นคนหนึ่งที่เห็นประจำ    พอยามหนาวมาถึง    เราสองคนนึกขำตัวเองว่าช่างมีเวลาสุขสบายดีจริง ดูแลตัวเองทาครีมนวดแขนขาหน้าตาอย่างสบายอารมณ์  ยิ่งกว่าอยู่นอกคุก     แล้วก็หาโอกาสไปสระผมที่ร้านบ่อย ๆ    เพราะว่างเสียจนไม่รู้จะทำอะไรดี
                  พ้นคุก                                                                                 
    มกราคม 2531  มีคำสั่งนายกรัฐมนตรี     ใช้อำนาจตามกฎหมายคอมมิวนิสต์ปล่อยตัวฉันกับสามี     และผู้ต้องหาหนุ่ม ๆ ที่ถูกจับวันนั้นอีก  2  คน     แต่ให้ไปเข้าศูนย์อบรม  1  เดือน   ที่นครปฐม     ฉันสงสารพี่อ่อนศรีมาก    เธอกับพี่นพยังไม่ได้ปล่อยตัว      ผู้ชายทุกคนที่เหลือก็ต้องอยู่ในคุกมืดเศรษฐศิริต่อไปอีกเป็นปี      กว่าจะมีพ...นิรโทษกรรมออกมา
     พี่สาวและแม่อุ้มลูกมาส่งให้หน้าคุก    พร้อมเสื้อผ้าของใช้   เพราะตำรวจยังต้องควบคุมตัวเราต่อไปอีก     ตอนแรกลูกชายจำหน้าฉันไม่ได้   แกคงสับสนวุ่นวายปรับตัวบ่อย ๆ     ร้องไห้ไปตลอดทางที่ฉันอุ้มมานั่งรถตำรวจไปด้วยกัน    แล้วฉันกับลูกก็ได้พบกับพ่อเจ้าบอร์น    เขาอยู่คุกมืดตลอดตั้งแต่แยกจากกัน
    ชีวิตที่นครปฐมในศูนย์การุณยเทพ  ของกอ.รมน. ไม่ยุ่งยากอะไร   นอกจากถูกกักบริเวณ
พวกเราทำกับข้าวกินกันเอง    และมีการพูดคุยอบรมไปบ้าง
                     แต่เรื่องหนักหนาสาหัสก็คือ  ลูกฉันผอมลงมาก     ก่อนออกจากคุกก็ผอมลงมากอยู่  แต่ตอนนี้ลูกขวบเต็มพอดี    ผอมและงอแง   ยายว่าเป็นหิดทั้งตัว    รักษาเท่าไรก็ไม่หาย  พอมาอยู่รวมกันรู้สึกได้ว่า  ทั้งพ่อแม่   ทั้งเพื่อนที่ถูกปล่อยมาอยู่ด้วยกัน  และอุ้มเด็กด้วยกันทุกคน    น่าจะติดเชื้อหิดหมด    จะต้องรักษากันเป็นทีมจึงจะถอนรากถอนโคนได้
    เริ่มต้นเราใช้กำมะถันมาแช่น้ำอาบกันทุกคนตามสูตรชาวบ้าน   แต่ก็ดูไม่หายสักที    ฉันขอให้ตำรวจพาไปหาหมอ   เขาพาไปที่โรงพยาบาลนครปฐมก็ได้ยามาทา  แต่ไม่หาย         ลูกดูจะมีอาการรุนแรงขึ้น  ฉันทำหนังสือเร่งเร้าให้พาไปที่สถาบันโรคผิวหนังกรุงเทพนานหลายวันกว่าจะยอม
                   ตำรวจคุมตัวฉันอุ้มลูกมาที่สถาบันโรคผิวหนัง    บริเวณอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ      อาจารย์แพทย์พานักศึกษาแพทย์มารุมล้อมตรวจดูอาการฉันกับลูกเต็มห้องไปหมด      อาจารย์แพทย์มีท่าทีประหลาดใจ     ขณะซักถามว่าไปติดหิดมาได้อย่างไร    เพราะเป็นหิดที่ร้ายแรงมาก     ฉันสงบนิ่งตอบได้แต่ว่า    ติดมาจากคุก
                     ที่สุดลูกและทุกคนก็หายขาดจากโรคหิด    เราถูกพาไปดูงานที่สหกรณ์หนองโพ   ราชบุรี วิทยาลัยเทคนิคนครปฐม  ฟาร์มหมู   พี่สาวเอารถเข็นเด็กมาให้ด้วย   ฉันพาลูกไปดูงานตามที่ต่าง ๆ ที่จัดให้       คนมอง ๆ กันอย่างแปลกใจว่าทำไมมีแม่ลูกอ่อนมาดูงาน!
                      เดือนกุมภาพันธ์  2531   เราได้กลับบ้าน    ถือว่าจบคดีโดยสิ้นเชิงแล้ว
                      ฉันสัญญาในใจว่า     สักวันหนึ่งฉันจะต้องเขียนถึงชีวิตแม่ลูกอ่อน   และคนท้องในคุก  เพื่อสื่อถึงสังคมไม่ให้ลืมเลือนมุมมืดที่แทบไม่มีคนได้สัมผัส...
      วันนี้กรมราชทัณฑ์มีแนวคิดว่า  ต้องเอาเด็กแยกจากแม่   ให้ออกจากคุกมาอยู่บ้านพักข้างนอก  ซึ่งเริ่มทำที่ทัณฑสถานหญิงลาดยาว  โดยเอาเด็กตั้งแต่ 1 ขวบออกมา  และเจ้าหน้าที่จะพาเข้าไปเยี่ยมแม่เป็นเวลา   ขณะที่คุกหญิงทั่วประเทศมีเด็กประมาณเกือบ 1,000  คน     ควรต้องทบทวนทั้งระบบว่า   ทางออกที่แท้จริงและยั่งยืนควรจะเป็นเช่นใด?
                     สำหรับฉันซึ่งคลุกคลีกับพวกเธอมา  แม่ลูกอ่อนและคนในคุก   มีความรักและสามารถดูแลเด็กได้ดีพอสมควร    เดิมคุกลาดยาวเคยให้เลี้ยงลูกได้ถึงสามขวบ  การแก้ปัญหาด้วยการแยกลูกจากแม่   ไม่น่าจะเป็นทางออกที่ดี     แม่ควรได้เลี้ยงและผูกพันกับลูก   ในเฉพาะหน้าขอเพียงแต่จัดที่อยู่และการดูแลเด็กขั้นพื้นฐาน เช่น    การฉีดวัคซีน   การรักษา  การแนะนำให้ความรู้ และอาหารเสริมบ้างสำหรับแม่ที่ยากจน     ซึ่งจะไม่ได้ใช้งบประมาณมากเท่าที่ต้องมาเปิดสถานดูแลต่างหาก   และไม่มีทางจะเปิดได้ครบทุกแห่งในเวลารวดเร็วอย่างแน่นอน   การอยู่ในคุกสำหรับเด็กเล็ก แทบจะไม่มีผลให้เกิดสิ่งเลว ร้ายที่ผู้คนชอบคิดกันที่สำคัญคือคนเลี้ยงข้างนอกคงไม่อาจมีเวลาเต็มที่และทดแทนความรักจากแม่ได้   
                    ทัศนคติของผู้คุมและสังคมที่มองว่าคนคุก  คือคนอันตราย  เป็นอาชญากร      คุกจึงเป็นสถานที่สำหรับลงโทษให้ผู้คนเรียนรู้ว่า    การทำผิดจะต้องถูกลงโทษเพื่อให้หลาบจำ  ไม่อยากทำผิดอีก   หรือคนคุกมีแต่คิดจะหนี   พร้อมจะทำอันตรายผู้คุมตลอดเวลา  จึงต้องมีกฎเกณฑ์  กลไกแห่งการใช้อำนาจ  เข้มงวด    ทัศนะเช่นนี้ต่างหากที่ทำให้เกิดการใช้อำนาจ  มากกว่าความเข้าใจที่จะให้ทุกคนได้ปรับตัวและเรียนรู้ในการกลับเข้าสู่สังคม  และพึ่งตนเองได้ 
                    สำหรับคนท้องก็ต้องมีการตรวจดูแลเช่นเดียวกับผู้หญิงท้องทั่วไป     และประกันให้การคลอดอยู่ในความดูแลของโรงพยาบาลอย่างทันท่วงที
                     ทางออกที่แท้จริงและควรต้องเร่งรัดดำเนินการร่วมกันทั้งสังคม  ขั้นแรกสุดคือ  ให้มีการปล่อยตัวชั่วคราวแม้จะไม่มีหลักทรัพย์ประกันตัว    เพื่อไม่ให้คนท้องและแม่ลูกอ่อนยากจนต้องมาติดคุกช่วงการต่อสู้คดี    ทั้งที่หลายรายอาจจะได้รับการยกฟ้อง   และศึกษาหามาตรการชะลอการฟ้องคนท้องและแม่ลูกอ่อนไว้ก่อน   โดยมีกระบวนการของชุมชนเข้ามาช่วยดูแล   หรือกำหนดโทษบางส่วนที่ไม่ต้องมาอยู่ในคุกเสมอไป    ดังที่เริ่มมีการศึกษาประเด็นนี้จากบทเรียนต่างประเทศ          การยอมรับสิทธิในศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์  จึงควรยกเลิกการตรวจภายในผู้ต้องขังหญิงอย่างละเมิดศักดิ์ศรีความเป็นคน  ควรมาถึงยุคแห่งการเปิดคุกให้เป็นที่เปิดเผยต่อสาธารณชน  และถูกตรวจสอบตลอดกระบวนการอย่างครบถ้วน   ตรงไปตรงมา และโปร่งใส






       และท้ายสุด  ควรเป็นความหวังของสังคมร่วมกัน     ที่จะให้โอกาสผู้หญิงเหล่านี้เป็นพล
เมืองดีของสังคม    โดยสังคมเองก็เต็มใจอ้าแขนรับ  โอบอุ้มเกื้อหนุน  
     ชีวิตเด็กในท้อง  เด็กอ่อน  และผู้ต้องหาหญิง  นักโทษหญิงทั่วประเทศยังฝากความหวังกับการเปลี่ยนความคิด   ทัศนคติของผู้คุม   ของสังคม  ของกฎหมาย อีกมากมาย   เพื่อความมีสิทธิในความเป็นคนของทุกคน


[1] ทานทัต  ชาญอุไร ,นามแฝง( สุทธิลักษณ์  เจาะสุนทร) ,  เสียงเพรียกจากลาดยาว : ‘เมื่อนิภาพรรณ  พัฒนไพบูลย์  สู่คุกครั้งที่สองพร้อมลูกน้อย  ในนสพ.ข่าวพิเศษ  อาทิตย์, 2530:37-39)  ซึ่งสัมภาษณ์แม่และพี่สาวฉันพร้อมด้วยรูปของลูกชายในคุกบางเขน     สุกัญญา ใสงาม ซึ่งขณะนั้นเป็นนักวิชาการของการปิโตรเลียมแห่งประเทศไทย  บอกว่า...  เขาไม่ต้องการตกอยู่ในเป้าสายตาหรือการติดตามของใคร  อีกอย่างหนึ่งเขาเชื่อว่าเขาไม่ใช่ผู้หลงผิด     ผู้หลงผิดมันเหมือนตราอะไรสักอย่าง  มันสะกิดความรู้สึก   เพราะเราไม่ได้หลงผิด      แต่มันเป็นความรักชาติซึ่งทุกๆคนก็มีอยู่ในใจ   ทุกคนต้องการเห็นสิ่งที่ดีเกิดขึ้นกับชาติบ้านเมือง   แต่วิธีการอาจจะไม่เหมือนกัน  เมื่อวิธีการที่เราทำไปมันไม่ดี  ไม่ได้ผล   เราก็เปลี่ยน  มันไม่ใช่ความหลงผิด...   (น.38)
                   ทานทัตสรุปว่า การขอนิรโทษกรรมให้กับนักโทษการเมืองกำลังถูกดำเนินไปอย่างเงียบๆเราได้แต่ภาวนาว่าขออย่าได้มีที่รักที่ชังในการขอนิรโทษกรรมครั้งนี้เลย     หากจะถือว่า ไม่ว่าใครก็มีความรักชาติเท่าๆกันทั้งนั้น  วิธีการต่างหากที่แยกกันไป  และนักโทษการเมืองไม่ได้เป็นคนเลวร้ายโดยกมลสันดานในทางตรงข้ามกลับเป็นทรัพยากรที่มีคุณค่าของชาติบ้านเมืองหากใช้ให้ถูกที่”      (น.39)
  [2] ฉันไม่เคยเห็นคุกมืด  พ่อบอร์นเล่าว่าตั้งอยู่ภายในสำนักงานสันติบาลที่เศรษฐศิริ     อยู่กลางเมืองที่คนคงนึกไม่ถึงว่าในปี 2530 ยุคที่เรียกกันว่าประชาธิปไตยแล้ว      จะยังคงป่าเถื่อนด้วยกฎหมายคอมมิวนิสต์ขังลืม  และคุกมืดอยู่อีก เป็นคุกที่ไม่เห็นแสงเดือนแสงตะวันจริงๆ   ลุงทุ่ง  ฝ่ายนำที่เขตงานภูซางซึ่งเป็นคนเดียวที่เรารู้จัก  อายุ 60 กว่าปีแล้วก็ถูกขังในคุกมืด  เช่นเดียวกับลุงอื่นๆที่เรารู้จักต่อมา   เช่น ลุงชำนาญ   ลุงไวฑูรย์  ลุงนพ ลุงสิน  ลุงปุ่น  มีคนรุ่นหนุ่มสามคนคือส.ชน   ส.สมนึก  และ  ส.นพดลซึ่งขาพิการจากถูกทุ่นในป่า  เป็นชนชาติส่วนน้อย     ทุกคนต้องพยายามออกกำลังกายตลอดเวลา   ถึงเวลากินข้าวมีช่องเล็กๆให้ยื่นจานข้าวเข้ามา     มีพัดลมตัวใหญ่ที่เป่าอยู่ตรงกลางแต่ก็ร้อนอบอ้าวมาก    ต้องพยายามฝืนร่างกายตัวเองมิเช่นนั้นจะอ่อนเปลี้ยมาก     ต่อมาก็ยอมเปิดจากห้องขังซอยให้มาอยู่ตรงโถงกลางบ้างในตอนกลางวัน    ทุกคนเข้มแข็งและอดทนมาก   อาจจะเนื่องจากผ่านการต่อสู้กันมายาวนานตั้งแต่ในเมืองรุ่นปี 2500    มีหลายคนจบธรรมศาสตร์