ไทยพลัดถิ่น รอแล้วรอเล่าเรื่องสัญชาติ
กับโศกนาฏกรรมน้ำท่วม (ไทยโพสต์ ๓๐ มค.๖๐)
สุนี ไชยรส
ผอ.ศูนย์ส่งเสริมความเสมอภาคและความเป็นธรรม วิทยาลัยนวัตกรรมสังคม
มหาวิทยาลัยรังสิต
ข่าวน้ำท่วมภาคใต้ทำให้ทุกคนห่วงใยอย่างยิ่งและเตรียมการไปช่วยเหลือ ในกรณีบางสะพานที่มีคนไทยพลัดถิ่นที่กำลังรอกระบวนการพิจารณาให้ได้สัญชาติไทยและมีฐานะยากจนอยู่จำนวนมาก ทำให้สโมสรนักศึกษากับอาจารย์วิทยาลัยนวัตกรรมสังคมรีบตรวจสอบข้อมูลจาก”บ่าววี”
เครือข่ายคนไทยพลัดถิ่นและคุณระกาวิน แสงคง ...จากมูลนิธิชุมชนไท ที่พวกเราไปทำงานร่วมด้วยสามรอบแล้วที่ประจวบในการช่วยเตรียมข้อมูลในการขอสัญชาติไทยตามกฎหมายที่มีการแก้ไข แต่กระบวนการตรวจสอบและพิจารณาล่าช้ามาก วิทยาลัยนวัตกรรมสังคม และ คณะนิติศาสตร์จึงได้มีบันทึกความเข้าใจร่วมกันกับกรมการปกครองและอีกหลายองค์กร
เช่น มูลนิธิชุมชนไท ในการช่วยเตรียมเอกสารให้เมื่อปี
๒๕๕๘ คำบอกเล่าถึงความเดือดร้อน
ประกอบภาพที่ส่งมา เช่น นายฮะซัน เอาลูกๆห้าคนซึ่งพิการสองคน แขวนใส่เปลผ้าไว้กับขื่อบ้านเพื่อหนีน้ำ
และข่าวน้ำท่วมอย่างหนัก ทำให้สโมสรนักศึกษาและคณบดี
คณาจารย์ร่วมกันปฏิบัติการเร่งด่วนภายในสองวัน
ระดมเงินบริจาคซื้อของ ขอแบ่งข้าว
น้ำ อาหารของใช้ที่มหาวิทยาลัยรังสิตกำลังเปิดรับบริจาคมาบางส่วน และชวนทีมงานพร้อมรถสี่ล้อขนาดใหญ่จากมูลนิธิเครือข่ายส่งเสริมคุณภาพชีวิตแรงงาน
(LPN) ที่มหาชัย
รถอาสาสมัครโฟร์วิลจากนักศึกษาสองคัน อาจารย์หนึ่งคัน นักศึกษาระดมกันมาช่วยรับบริจาคและขนของอย่างแข็งขัน
กว่าจะจัดของเสร็จเกือบตี ๑ ได้ถุงยังชีพ ๔๐๐ ชุดที่บวกข้าว ๕ กก.และน้ำ ๑ โหล แบ่งเป็นชุดอาหารสำหรับมุสลิม ๘๐ ชุด มีขนมเด็ก
๓๐๐ ชุดเพราะเราไปวันเด็กพอดี และข้าวกับของกองกลางจำนวนหนึ่งพร้อมยา ผ้าอนามัย
เสื้อผ้า เพื่อเตรียมเดินทางตี ๔ ของวันที่ ๑๔ มค.๖๐ คนที่พร้อมไปมีนวัตกรรมฯ ๒๐ คน และโบว์
ลูกคนไทยพลัดถิ่นบ้านคลองลอยที่เราจะไป
เป็นนักศึกษานิติที่ได้ทุนเรียนจากม.รังสิต
รวมทีมงานมูลนิธิฯ ๑๐ กว่าคนและนักศึกษาจากที่อื่นอีก ๕คน เราประเมินผิดไป รถไม่พอขนของ ต้องหาเช่ารถหกล้อมาเร่งด่วนตอนตี
๕
ปฏิบัติการครั้งนี้เริ่มจากเวลาและงบที่จำกัด
ทำให้ขบวนเราถือเป็นความช่วยเหลือเร่งด่วนเฉพาะหน้าต่อพี่น้องไทยพลัดถิ่นที่ค่อนข้างยากจน
ไร้สัญชาติ และโอกาสเข้าถึงความช่วยเหลืออาจมีตกหล่น โดยเน้นการทำงานประสานกับศูนย์ช่วยเหลือคนไทยพลัดถิ่นที่จัดตั้งขึ้นในหมู่บ้านคลองลอย
ต.ร่อนทอง อ.บางสะพานเพื่อให้ถึงกลุ่มเป้าหมายที่ชัดเจน ส่งเสริมการพัฒนาความเข้มแข็งของชุมชน และเป็นกระบวนการเรียนรู้ของนักศึกษาด้วย
โดยทันทีที่ไปถึงขบวนเราได้ร่วมสำรวจความเสียหายและสอบถามพี่น้องด้วยตัวเองบางส่วน เพิ่มเติมจากที่ศูนย์ฯได้สำรวจไปบ้างแล้ว
ตอนค่ำกลับมาสรุปร่วมกันถึงผลสำรวจที่ได้และเตรียมการจัดสรรข้าวของ
เป็นภาพที่อบอุ่นเมื่อนักศึกษาชายหญิง ทำงานร่วมกับพี่น้องแรงงานจากมหาชัย นำทีมโดยคุณปฏิมาฯจากมูลนิธิฯ ที่ต่อสู้เรื่องช่วยคนงานเรือประมงไทย
ลาว กัมพูชาจำวนมากกลับจากการถูกปล่อยเกาะยาวนานที่อินโดนีเซีย และครั้งนี้พวกเขาก็มาช่วยอย่างแข็งขัน
รวมทั้งนศ.หญิงฝึกงานจากราชภัฏบุรีรัมย์สองคน นศ.จาก ม.บูรพา จากการบินพลเรือน
ที่อาสามาช่วย และคนไทยพลัดถิ่นหลายสิบคนทั้งพุทธและมุสลิม ที่แม้ตัวเองจะเสียหายจากน้ำท่วม
ก็มาเป็นทีมงานช่วยนำพาและขนของตลอดสองวันที่เราไป แรงงานที่กลับจากอินโดนีเซียบอกว่า ขนของแค่นี้เบามากเมื่อเทียบกับงานหนักหน่วงในเรือประมง พี่น้องไทยพลัดถิ่นบ้านคลองลอย ต.ร่อนทอง ที่มีรายชื่อจากการสำรวจรอบนี้ประมาณเกือบ
๓๐๐ ครอบครัว มารับของด้วยตัวเองที่ศูนย์ฯ
เป็นโอกาสดีที่นศ.ได้พบและเข้าใจพวกเขามากยิ่งขึ้น เราเตือนกันเสมอว่า เราไม่ได้มาแจกของแบบสงเคราะห์ทั่วไป
แต่เป็นการเสริมงานความเข้มแข็งระยะยาวของเครือข่ายคนไทยพลัดถิ่นและให้กำลังใจผู้ที่ประสบปัญหา ยังมีของที่เหลือส่วนหนึ่งมอบไว้เป็นกองกลาง
ของเด็กๆ
๑๐๐ ชุด รวมตุ๊กตาและเสื้อผ้า..มอบให้คณะครูโรงเรียนบ้านคลองลอย ที่น่าชื่นชมมาก
จากการไปเยี่ยมตั้งแต่เย็นวันที่ ๑๔
ที่โรงเรียนเป็นศูนย์อพยพผู้ประสบภัยและทำกับข้าวกองกลาง ครูก็เสียสละมาประจำกันที่ศูนย์ตั้งแต่ต้น
เรานัดพี่น้องไทยพลัดถิ่นที่เป็นมุสลิมมาที่วัดสุวรรณาราม
ที่อนุเคราะห์เป็นศูนย์ประสานงานให้
เพื่อสอบถามปัญหาจากผู้ที่มารับของเองได้เกือบสิบครอบครัว น้ำท่วมสูงเกินหัวเป็นเมตรในบางหลัง
ดินยังถล่มเต็มบ้าน ออกมาลำบาก ที่เหลือจะถูกนำไปแจกจ่ายโดยเครือข่ายต่อไป
และเราพบข้อมูลที่ไม่ได้เตรียมข้าวของไว้ก่อน
ว่ามีพี่น้องคนไทยเกือบ ๓๐
หลังบริเวณรถตู้ที่มาจมน้ำและมีเด็กหญิงคนหนึ่งเสียชีวิต พี่น้องมุสลิมมีน้ำใจมาก บอกให้แบ่งของที่เอามาให้พวกเขาไปให้พี่น้องกลุ่มนี้ก่อน นักศึกษาจึงแวะเยี่ยมให้กำลังใจทุกหลัง เราตั้งใจไปเยี่ยมพิเศษไทยพลัดถิ่นมุสลิมที่มีลูกพิการสองครอบครัว บ้านแรกคือฮะซัน ที่มีลูก ๕ คนลูกสาวคนโตอายุ ๑๖ ปี
เธอเพิ่งพิการเมื่อ ๕ ขวบ หมอให้พ่อพาไปที่ศิริราช
แต่พ่อที่ไม่มีสัญชาติไทยและยากจน บ้านก็เช่าที่ดินเขาอยู่ ไม่สามารถไปได้
แขนและขาลูกสาวก็ลีบและอ่อนแรงลงเรื่อยๆ จนยกแขนขาไม่ได้ พ่อต้องอุ้ม ลูกชายคนที่สอง ๙ ปีก็พิการ คนเล็กสุดสามเดือน
บ้านเสียหาย ข้างล่างอยู่ไม่ได้ (บ้านนี้ที่เอาลูกแขวนเปลไว้กับขื่อ) เช่าที่ปลูกบ้านอยู่ในสวนลึกๆ เขาเล่าว่า เมื่อไปรับของที่มาแจก มีคนบอกว่า
ไม่ต้องให้เขาเพราะเขาไม่ใช่คนไทย แต่คนที่มาแจกบอกว่า”
เป็นคนเหมือนกัน” ทำให้เขาได้รับของด้วย อีกครอบครัวหนึ่งดินถล่มมาจนรถเข้าออกไม่ได้
ไปจ้างรถไถมาช่วย รถโฟร์วิลก็แทบเข้าไม่ได้ ลูกสาวอายุ๗ ปีพิการ บ้านอยู่ไม่ได้เลย
เป็นที่ดินที่เช่าเขาอยู่เช่นกัน วัวตาย ๖ ตัว แพะ ๑๐ ตัว มีอาชีพขายโรตี พ่อของเขามีแผลจากเหยียบของมีคมจนน่ากลัวจะเป็นบาดทะยัก
พ่อร้องไห้เล่าถึงความเร็วของน้ำและดินที่ทะลักมาอย่างรวดเร็ว
ระหว่างทางกลับเราแวะเอาข้าวของที่มีเหลือไม่มากเยี่ยมคุณจินตนา แก้วขาว
ที่บ้านกรูดเพื่อเป็นกำลังใจที่บ้านเธอก็เสียหายหนัก แต่เธอจัดศูนย์เล็กๆเอาของที่มีคนมามอบให้เพื่อช่วยเหลือเพื่อนบ้านด้วยกัน ระหว่างทางที่เหนื่อยล้าจากภารกิจเต็มเหยียดสามวัน นักศึกษาคุยกันตลอดทางเรื่องจะไประดมทุนมาช่วยสร้างบ้านให้ครอบครัวที่ลูกพิการ
และอยากให้พวกเขามีโอกาสรักษาความพิการให้ดีขึ้น... ตอนนี้ทั้งนักศึกษาและอาจารย์ต่างสนใจแนวทางการฟื้นฟูเยียวยาที่จะช่วยในระยะยาวอย่างไร บนพื้นฐานการมีส่วนร่วมของคนที่เดือดร้อน และจะร่วมมือให้กว้างขวางกับฝ่ายต่างๆได้อย่างไร
คำมั่นร่วมกันคือ แล้วเราจะกลับไปอีก...