แม่ทุ่มเทให้จบมหาวิทยาลัย
ไม่เกเร ..สู่อุดมการณ์ปฏิวัติ
ฉันซึมซับอุดมการเฟมินิสต์ในเบื้องต้นจากชีวิตของแม่
เมื่อเข้ามหาวิทยาลัยในยุคเผด็จการฉันได้เข้าร่วมการต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยที่แหลมคมต่อมา และช่วยพิสูจน์ว่า ถ้าไม่มีประชาธิปไตยเป็นเงื่อนไข การต่อสู้ของเฟมินิสต์ก็ไม่อาจจะเป็นไปได้
แม่บันทึกเวลาช่วงนี้ไว้ว่า...
“พอดีเบิ้มเรียนจบเทคนิคสามปี เบิ้มก็อยากเรียนต่อแต่แม่ไม่มีปัญญาส่ง
จึงออกมาทำงานช่วยแม่ส่งน้องเรียนมหาวิทยาลัย เบิ้มได้งานที่รังสิต แม่ก็ย้ายกลับมาทำงานที่รังสิต
เราจึงได้มาเช่าบ้านอยู่รวมกันอีกครั้งหนึ่ง แม่มีความตั้งใจว่าแม่ไม่มีการศึกษาก็จะพยายามให้ลูกได้เรียนให้สูงที่สุดเท่าที่จะทำได้
ระหว่างลูกเรียนแม่ทำงานตลอดปีไม่มีวันหยุดเลยไม่ว่าเสาร์อาทิตย์ เพราะว่าเราไม่ได้ทำเป็นเงินเดือน ทำมากได้มากทำน้อยได้น้อย
เราก็อยู่มาได้จนลูกทั้งสองจบมหาวิทยาลัย
ส่วนเบิ้มก็นึกว่าเมื่อน้องจบแล้วจะมีโอกาสได้เรียนต่อ ก็ต้องผิดหวัง เพราะน้องก็ไม่ได้ทำงานประจำเป็นชิ้นเป็นอัน มัวแต่ไปช่วยกรรมกรชาวไร่ชาวนาเขาต่อสู้กัน จนกระทั่งเกิดเหตุการณ์ 6 ตุลา ก็เลยเตลิดเข้าป่าไปทั้งพี่ทั้งน้อง เหลือแต่แม่กับพี่ชาย จนห้าปีผ่านไปถึงได้กลับมาเริ่มต้นชีวิตใหม่ สุกลับมาก่อนไม่มีปัญหาอะไร ปุ๊กลับมาทีหลัง ถูกจับไปขังคุกพร้อมลูกน้อยวัยไม่กี่เดือนเป็นปีถึงได้ปล่อยออกมา...”
ส่วนเบิ้มก็นึกว่าเมื่อน้องจบแล้วจะมีโอกาสได้เรียนต่อ ก็ต้องผิดหวัง เพราะน้องก็ไม่ได้ทำงานประจำเป็นชิ้นเป็นอัน มัวแต่ไปช่วยกรรมกรชาวไร่ชาวนาเขาต่อสู้กัน จนกระทั่งเกิดเหตุการณ์ 6 ตุลา ก็เลยเตลิดเข้าป่าไปทั้งพี่ทั้งน้อง เหลือแต่แม่กับพี่ชาย จนห้าปีผ่านไปถึงได้กลับมาเริ่มต้นชีวิตใหม่ สุกลับมาก่อนไม่มีปัญหาอะไร ปุ๊กลับมาทีหลัง ถูกจับไปขังคุกพร้อมลูกน้อยวัยไม่กี่เดือนเป็นปีถึงได้ปล่อยออกมา...”
ตอนเรียนอยู่ม.ศ.4 และม.ศ.5 ที่ร.ร.วัดเขมาภิรตาราม
ฉันได้อ่านนิตยสารชัยพฤกษ์นักศึกษาประชาชนในห้องสมุด มีเรื่องราวมากมายชวนให้คิดและสนใจ คุณครูรับนิตยสารมาจำหน่ายด้วย ฉันจึงซื้ออ่านกับพี่สาวทุกฉบับ เนื้อหาปลุกเร้าใจเยาวชนหนุ่มสาวให้มีจุดมุ่งหมายที่ดีงามในชีวิต
มีความใฝ่ฝันและมีอุดมการเพื่อรับใช้ประชาชน การต่อสู้เพื่อเสรีภาพและสันติภาพ การวิจารณ์นโยบายเรื่องจักรพรรดินิยมอเมริกา ฐานทัพอเมริกันในไทย และการคัดค้านสงครามเวียดนาม สอดคล้องกับภาพทหารอเมริกัน เมียเช่า
เด็กผมแดง ผู้หญิงที่ต้องทำงานบาร์
ที่ฉันเคยรู้สึกเศร้าหมองในใจเมื่อเห็นมาตั้งแต่วัยเด็ก การพูดถึงปัญหาคนจนที่ฉันมีโอกาสสัมผัสมามากมาย
การวิจารณ์ระบบอาวุโสของรุ่นพี่ในมหาวิทยาลัยต่างๆ
การพูดถึงเสรีภาพในมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
ทำให้ฉันใฝ่ฝันและมุ่งมั่นจะสอบเข้ามหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ให้ได้
ตอนสอบเอนทรานซ์เลือกได้ 6
อันดับ
ฉันเลือกคณะเศรษฐศาสตร์
ธรรมศาสตร์ อันดับ 1 ตามด้วยเศรษฐศาสตร์ จุฬาฯ
คณะรัฐศาสตร์ ธรรมศาสตร์ รัฐศาสตร์
จุฬาฯ สุดท้ายที่คณะวารสารศาสตร์ ธรรมศาสตร์
และนิเทศศาสตร์ จุฬาฯ
วันไปดูผลสอบเอนทรานซ์
พี่ชายเป็นคนไปดูให้
กลับมาทำหน้าเศร้าบอกว่าไม่ติดทั้งสองคน
ฉันกับพี่สาวแม้จะเสียใจอยู่บ้าง
แต่ในสถานการณ์ความยากลำบากของครอบครัว
เราก็รู้สึกโล่งอกไปอีกแบบหนึ่ง
บอกว่า
ดีเหมือนกันจะได้ตัดใจทำงานหาเงินช่วยแม่บ้าง พี่ชายจึงหัวเราะ บอกแม่ว่าสอบติดทั้งสองคน ฉันติดคณะเศรษฐศาสตร์ ธรรมศาสตร์ ส่วนสุกัญญา..พี่สาวติดคณะวิทยาศาสตร์
มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์
และให้กำลังใจน้องทั้งสอง
ให้เรียนไปเต็มที่
เพราะพี่ชายกำลังจะได้งานทำที่รังสิตแล้ว
คิดย้อนไปแล้ว พี่ชายคนโตในฐานะเรียนเก่ง และเป็นลูกชาย ที่ส่วนใหญ่ในสังคมจะมีโอกาสมากกว่าลูกสาว ต้องขอบคุณพี่ชายที่เสียสละอย่างมาก ทำให้เราสองคนมีโอกาสได้เรียนมหาวิทยาลัย และเป็นอย่างที่แม่เขียนไว้ เมื่อเราสองคนจบต้นปี 2517ก็ไม่ได้ให้โอกาสพี่ชายกลับมาเรียนต่ออีกเลยเพราะเข้าร่วมกระแสธารอันเชี่ยวกรากแห่งการต่อสู้ของขบวนนักศึกษาประชาชนอย่างต่อเนื่อง และเมื่อเกิดเหตุการณ์นองเลือด 6 ตุลา 2519 ฉันกับพี่สาวหลบภัยเข้าป่า เรายังทิ้งภาระของกิจการร้านหนังสือที่เราทำกันในครอบครัวให้เป็นภาระหนักหน่วงของพี่ชายตามลำพัง เนื่องจากถูกยึดหนังสือทั้งร้านไปเผาที่สนามหลวง พี่ชายต้องรับภาระหนี้สินหนักทีเดียว
ขณะที่สุกัญญา พี่สาวกลับต้องเผชิญกับภาวะกดดันตั้งแต่เริ่มต้น เธอสอบได้คณะวิทยาศาสตร์ ของเกษตรศาสตร์ที่มีสถานที่กว้างขวางร่มรื่นต่างจากธรรมศาสตร์
ขี่จักรยานไปเรียนตามตึกต่างๆดูน่าจะมีความสุข แต่เกษตรฯขึ้นชื่อเรื่องระบบว้าก
และการใช้อำนาจอย่างเกินเลยของรุ่นพี่โดยอ้างระบบอาวุโส โดยทั่วไปนิสิตใหม่ต้องอยู่หอพัก และจะถูกรุ่นพี่ข่มขู่คุกคามทุกรูปแบบจนดึกจนดื่น
ใครขัดขืนหรือวิจารณ์ก็จะโดนลงโทษทั้งต่อหน้ากลุ่ม และถูกคุกคามกระทั่งทำร้ายข้างนอก เมื่อถูกบังคับสารพัด
เช่น ถูกเรียกไปเชียร์ตี 1 ตี 2 ถูกว้ากอย่างไม่มีเหตุผล ถูกลงโทษให้ไปล้างฟาร์มไก่ ฯลฯ พี่สาวฉันซึ่งมีจิตวิญญาณแห่งการต่อสู้เช่นกันไม่สามารถทนได้ ต้องขอแม่ที่จะไม่อยู่หอพักนิสิต
ออกมาเช่าบ้านอยู่กับรุ่นพี่ผู้หญิงที่เป็นนักกิจกรรม ....
พี่สาวทุ่มเทกับงานกลุ่มอนุรักษ์ธรรมชาติที่มี อ. ผสม เพชรจำรัส
เป็นที่ปรึกษา เธอเป็นประธานกลุ่มอนุรักษ์เกษตรฯที่เริ่มต้นเปิดโปงกรณีล่าสัตว์ป่าที่ทุ่งใหญ่อันอื้อฉาว ซึ่งต่อมานักศึกษารามคำแหงที่ทำหนังสือเรื่องนี้ถูกสั่งลบชื่อออก
จนมีการชุมนุมครั้งใหญ่ของนักศึกษาทุกมหาวิทยาลัย
และเธอทำงานเป็นเครือข่ายกับชมรมอนุรักษ์ธรรมชาติสถาบันอื่นๆ เช่น อ.สุดาทิพย์
อินทร สวัสดิ์ มิตรานนท์
ที่ธรรมศาสตร์ กงทอง เกียวกิ่งแก้ว จากจุฬาฯ
เธอเป็นสมาชิกสภานิสิตเกษตรศาสตร์ตั้งแต่
ปี 2 ปี 3 และ
ปี 4
ขณะที่ฉันเป็นสมาชิกสภานักศึกษาธรรมศาสตร์ที่จัดตั้งขึ้นรุ่นแรก เมื่อฉันอยู่ปี 4 แล้ว
ฉันเองค่อนข้างมีอิสระกว่าหลายๆคน พี่สาว- สุกัญญา อยู่หอพักข้างนอกก็คล่องตัวเช่นกัน
แม่ก็เชื่อมั่นในตัวเราว่าจะไม่ทำตัวเหลวไหล แม้จะไม่ค่อยเข้าห้องเรียน แต่วิชาที่เลือกเป็นวิชาที่สนใจ
อาจารย์มักจะให้ตอบคำถามแบบวิเคราะห์ปัญหาและทางออก
ประสบการณ์นอกห้องเรียนจึงเป็นประโยชน์ในการวิจารณ์โครงสร้างเศรษฐกิจสังคม การเมือง
ปัญหาชนบท
รวมทั้งนำเสนอทางออกต่างๆได้ชัดเจนขึ้น
ถ้าฉันไม่ได้ เอฟ วิชาหนึ่งที่คณะรัฐศาสตร์ เพราะส่งรายงานไม่ทันตอนที่เข้าร่วมการชุมนุมประท้วง ฉันจะได้เกียรตินิยมด้วย
ส่วนใหญ่นักกิจกรรมเดือนตุลาจะเรียนดีกันทั้งนั้น รวมถึงเยาวชนนักเรียนรุ่นต่อๆมาด้วย
แม่ของนักกิจกรรมทั้งหลายส่วนใหญ่จะห่วงลูกสาว ไม่อยากให้ไปร่วมกิจกรรม ....ฉันยังจำวันที่ฉันกับเพื่อนๆนักศึกษาหญิงสองสามคน พากันไปที่บ้านของนักศึกษาหญิงรุ่นน้องคนหนึ่ง
เพื่อช่วยกันขออนุญาตให้เธอได้ไปออกค่ายเยาวชนชนบทด้วยกัน
เราพยายามอธิบายว่าเราไปด้วยกันเป็นกลุ่มใหญ่ จะคอยดูแลช่วยเหลือกัน แม่ของรุ่นน้องมองหน้าพวกเรา คำตอบของแม่ทำให้พวกเราขยาดเหมือนกัน แม่บอกว่า ‘ดูแลตัวเองกันให้ได้เสียก่อนเถอะ’ ฉันนึกภาพตัวเองและเพื่อนๆแล้วก็ยังนึกขำมาจนทุกวันนี้ ยุคนั้นพวกเราแต่งตัวกันตามสไตล์ ‘5 ย.’ ของนักกิจกรรมทั้งหลาย
ผมยาว สะพายย่าม กางเกงยีน
เสื้อยับ รองเท้ายาง...
แม้ว่าจะไม่ครบสูตรทั้งหมดและคงสะอาดสะอ้านกว่าพวกผู้ชายอยู่มาก แต่ในสายตาของพ่อแม่ที่ห่วงใยลูกสาว มันคงไม่น่าเชื่อถือเสียเลย
แต่ก็มีบางรายที่ประสบความสำเร็จอยู่บ้าง
สลิลยา มีโภคี ขอแม่ไปค่ายที่ขอนแก่นกับฉันไม่ได้ ก็มาชวนฉันไปพบแม่ เธอย้อนรำลึกวันนั้นว่า ในที่สุดแม่ก็ยอมให้ไปค่ายได้ ...
แล้วฉันกับพี่สาวก็ทำกิจกรรมในฐานะกลุ่มอิสระและสภานักศึกษาอย่างแข็งขันตลอด ๔ ปี..จนเข้าร่วม ๑๔ ตุลา ๒๕๑๖...ทั้งตั้งใจเรียน และใช้เงินกันอย่างประหยัดที่สุด แม่ก็เย็บผ้าที่รังสิต พี่ชายก็ทำงาน..ช่วยเราสองคนให้เรียนจนจบ
อีกหนึ่งเดือนหลัง 8 มีนา 2517 ฉันก็จบมหาวิทยาลัย กลุ่มผู้หญิงและ ผู้หญิงรุ่น 14 ตุลาจากมหาวิทยาลัยต่างๆ เข้าสู่ขบวนการเคลื่อนไหวของประชาชนในรูปแบบต่างๆกัน
ฉันเป็นนักข่าวนสพ.มหาชน รายสัปดาห์ของคุณปีย์ มาลากุล ที่เพิ่งเปิดใหม่ มีรัศมี(พี่ป้อม) เผ่าเหลืองทอง เป็นบรรณาธิการ ส่วนใหญ่ทำข่าวการประท้วงของนักศึกษากรรมกรชาวนา แต่นสพ.อยู่ได้ประมาณ 1ปีก็ยุติลง พี่สาวเป็นนักข่าวที่ นสพ.เสียงใหม่กับปราโมทย์ พิพัฒนาศัย ปฏินันท์ สันติเมทนีดล และ กัญญา ลีลาลัย (ฤดี) ทุกคนทำงานด้วยอุดมคติมีเงินเดือนเพียง 900บาทแต่งานหนักมาก ฉันทำนสพ.มหาชนยังได้ 1,500 บาท ยุคนั้นยังมีนสพ.ประชาธิปไตยรายวันที่มีธีรนุช ตั้งสัจจพจน์ อัมพา เลี่ยวชวลิต (สันติเมทนีดล)จากวารสารศาสตร์ ต่อมาหลังจากเสียงใหม่ยุติบทบาทลง พี่สาวและเพื่อนๆหลายคนก็ไปสมทบที่นสพ.ประชาธิปไตย
กระแสเรียกร้องให้นักศึกษาประสานกรรมกรชาวนา ทำให้นักเรียนนักศึกษาปัญญาชนทั้งหญิงชาย ต่างโถมตัวเข้าไปในรูปแบบต่างๆ ฉันตัดสินใจเข้าไปเรียนรู้ชีวิตกรรมกรทอผ้าที่โรงงานเทยิ่นดอนเมืองซึ่งเป็นโรงงานขนาดใหญ่ประมาณสองพันคน ส่วนใหญ่ผู้หญิง ฉันใช้วุฒิ ม.6 เข้าไปสมัครเป็นคนงานคุมเครื่องทอและนอนในหอพักโรงงาน ได้ค่าแรงประมาณเดือนละ 600 บาท ...เราสามพี่น้องร่วมกับเพื่อนมาลงทุนเช่าตึกแถวเทเวศร์ เปิดร้านขายหนังสือ เพื่อให้แม่ได้เลิกเย็บผ้า...
ทำงานได้สักสามเดือน คืนหนึ่งก็มีเสียงประกาศตามสายให้ฉันไปพบหัวหน้างาน ซึ่งบอกว่า ผู้จัดการใหญ่ให้ฉันไปพบที่สำนักงานใหญ่ของบริษัทที่หลานหลวง พรุ่งนี้จะมีรถมารับตอนออกกะ ฉันนึกในใจว่าสงสัยโรงงานจะรู้ว่าฉันเป็นใครกระมัง... เพราะคนงานตัวเล็กๆคนหนึ่งคงไม่มีเรื่องให้กรรมการผู้จัดการใหญ่ต้องพบเป็นแน่ แต่ฉันก็ไม่นึกกลัวอะไรแม้ว่าจะต้องเดินทางไปคนเดียวก็ตาม วันรุ่งขึ้นฉันนั่งรถของโรงงานไปสำนักงานที่หลานหลวงในชุดเสื้อสีฟ้า กางเกงสีกรมท่าซึ่งเป็นชุดของคนงาน ฉันถูกพาไปพบคุณเดช บุญหลง กรรมการผู้จัดการใหญ่ คุณเดชถามว่าจบธรรมศาสตร์แล้วทำไมจึงมาเป็นกรรมกร ฉันหัวเราะขณะที่ตอบว่าฉันเรียนเศรษฐศาสตร์ ฉันต้องการรู้ชีวิตจริงในโรงงานจึงลองมาทำดู คุณเดชท่าทางไม่เชื่อ แต่ก็พูดจาด้วยดี บอกว่าต่อไปนี้ให้มาทำที่สำนักงานใหญ่นี้จะหางานที่เหมาะสมให้ทำ ไม่ต้องไปเป็นกรรมกรอีก...
การต่อสู้ของกรรมกรชาวนา การเดินขบวนคัดค้านฐานทัพอเมริกัน และการคัดค้านการจะกลับมาของถนอม-ประภาส ทำให้ขบวนการต่อสู้ของประชาชนดุเดือดแหลมคมยิ่งขึ้นทุกขณะ เริ่มมีกระแสขวาพิฆาตซ้าย มีการขว้างระเบิดใส่ที่ชุมนุม โดยเฉพาะในการคัดค้านฐานทัพอเมริกันวันที่ 21มี.ค.19 ซึ่งแม่ของฉัน แม่วรรณา(แม่ของวิชัย บำรุงฤทธิ์) และบรรดาแม่ๆของนักกิจกรรมทั้งหลายก็มาเดินขบวนกันด้วย ระเบิดตกไม่ห่างจากแม่ๆมากนักตรงย่านสยามสแควร์ มีคนตายถึง 4 คน บาดเจ็บกว่า 100 คนนี่เป็นบรรยากาศหลัง14 ตุลาซึ่งพวกเรามักจะชวนพ่อแม่พี่น้องในครอบครัวมาร่วมกิจกรรมกันด้วย ทำให้เกิดพ่อแม่ของประชาชนจำนวนมาก การชุมนุมของกรรมกรถูกก่อกวนคุกคาม และมีการเสียชีวิตที่มีเงื่อนงำมากมายทั่งประเทศและไม่เคยจับใครได้ ตั้งแต่นิสิต จิรโสภณ แสง ร่งนิรันดรกุล บุญสนอง บุณโยทยาน ผู้นำชาวนาถูกลอบฆ่าหลายสิบคน กรรมกรหญิงชื่อ สำราญ คำกลั่น ก็ถูกยิงเสียชีวิต ขบวนนักเรียนนักศึกษาที่ไปชนบททั่วไปก็โดนขัดขวางก่อกวนในพื้นที่
ฉันและเพื่อนๆซาบซึ้งน้ำใจผู้คนมากมายที่เราไม่เคยรู้จัก แต่มาเยี่ยมเยียนพวกเราตลอดช่วงเวลาที่ยุ่งยากนั้น เรายังได้พบกับแม่ของประชาชนอีกหลายคน ที่มีน้ำใจโดยไม่เคยหวังสิ่งใดตอบแทน แม่กานดา แม่เตือนใจ แม่เล็ก แม่ขาว แม่วรรณา .หิ้วปิ่นโต หม้อข้าว ผักน้ำพริก มาฝากพวกเราที่ในคุกทุกอาทิตย์ทั้งที่ต้องนั่งรถเมล์และเดินไกลจากถนนวิภาวดีรังสิตเข้าไปกว่าจะถึงที่คุมขังของรร.พลตำรวจบางเขน แม่ๆสงสารและรักใคร่พวกเราไม่แพ้แม่ของเราแต่ละคนทีเดียว
ฉันนึกถึงพี่สาวที่แสนดีต่อเรา แม้เราจะไม่เคยรู้จักมาก่อนก็ตัดสินใจเสี่ยงภัยและเงินทุนมาประกันให้เราสองคนถึงสี่แสนบาท ตอนเราได้ประกันตัวออกมา เราได้ไปขอบคุณพี่สาวที่ทำงานของเธอ ประทับใจในความคิดของเธอ เธอต้อนรับเราอย่างอบอุ่น ฉันรู้สึกปลาบแปลบในใจไม่น้อย เมื่อคิดว่า อะไรจะเกิดขึ้นกับเธอเมื่อเราสองคนหนีภัยไป... เธอจะมีอันตรายไหม? ศาลคงยึดเงินทั้งหมดของเธอไป? ฉันเศร้าใจมาก แต่เมื่อนึกถึงความโหดเหี้ยมที่กำลังเกิดขึ้นต่อเบื้องหน้า และสถานการณ์ที่ไม่มีทางสู้ของฉันเอง ฉันตัดสินใจว่า ขอรักษาชีวิตตนเองไว้ก่อน เพื่อไปต่อสู้ต่อไป สักวันหนึ่งถ้าฉันไม่ตาย คงได้กลับมาทดแทนบุญคุณของเธอบ้าง...
ทำงานได้สักสามเดือน คืนหนึ่งก็มีเสียงประกาศตามสายให้ฉันไปพบหัวหน้างาน ซึ่งบอกว่า ผู้จัดการใหญ่ให้ฉันไปพบที่สำนักงานใหญ่ของบริษัทที่หลานหลวง พรุ่งนี้จะมีรถมารับตอนออกกะ ฉันนึกในใจว่าสงสัยโรงงานจะรู้ว่าฉันเป็นใครกระมัง... เพราะคนงานตัวเล็กๆคนหนึ่งคงไม่มีเรื่องให้กรรมการผู้จัดการใหญ่ต้องพบเป็นแน่ แต่ฉันก็ไม่นึกกลัวอะไรแม้ว่าจะต้องเดินทางไปคนเดียวก็ตาม วันรุ่งขึ้นฉันนั่งรถของโรงงานไปสำนักงานที่หลานหลวงในชุดเสื้อสีฟ้า กางเกงสีกรมท่าซึ่งเป็นชุดของคนงาน ฉันถูกพาไปพบคุณเดช บุญหลง กรรมการผู้จัดการใหญ่ คุณเดชถามว่าจบธรรมศาสตร์แล้วทำไมจึงมาเป็นกรรมกร ฉันหัวเราะขณะที่ตอบว่าฉันเรียนเศรษฐศาสตร์ ฉันต้องการรู้ชีวิตจริงในโรงงานจึงลองมาทำดู คุณเดชท่าทางไม่เชื่อ แต่ก็พูดจาด้วยดี บอกว่าต่อไปนี้ให้มาทำที่สำนักงานใหญ่นี้จะหางานที่เหมาะสมให้ทำ ไม่ต้องไปเป็นกรรมกรอีก...
การต่อสู้ของกรรมกรชาวนา การเดินขบวนคัดค้านฐานทัพอเมริกัน และการคัดค้านการจะกลับมาของถนอม-ประภาส ทำให้ขบวนการต่อสู้ของประชาชนดุเดือดแหลมคมยิ่งขึ้นทุกขณะ เริ่มมีกระแสขวาพิฆาตซ้าย มีการขว้างระเบิดใส่ที่ชุมนุม โดยเฉพาะในการคัดค้านฐานทัพอเมริกันวันที่ 21มี.ค.19 ซึ่งแม่ของฉัน แม่วรรณา(แม่ของวิชัย บำรุงฤทธิ์) และบรรดาแม่ๆของนักกิจกรรมทั้งหลายก็มาเดินขบวนกันด้วย ระเบิดตกไม่ห่างจากแม่ๆมากนักตรงย่านสยามสแควร์ มีคนตายถึง 4 คน บาดเจ็บกว่า 100 คนนี่เป็นบรรยากาศหลัง14 ตุลาซึ่งพวกเรามักจะชวนพ่อแม่พี่น้องในครอบครัวมาร่วมกิจกรรมกันด้วย ทำให้เกิดพ่อแม่ของประชาชนจำนวนมาก การชุมนุมของกรรมกรถูกก่อกวนคุกคาม และมีการเสียชีวิตที่มีเงื่อนงำมากมายทั่งประเทศและไม่เคยจับใครได้ ตั้งแต่นิสิต จิรโสภณ แสง ร่งนิรันดรกุล บุญสนอง บุณโยทยาน ผู้นำชาวนาถูกลอบฆ่าหลายสิบคน กรรมกรหญิงชื่อ สำราญ คำกลั่น ก็ถูกยิงเสียชีวิต ขบวนนักเรียนนักศึกษาที่ไปชนบททั่วไปก็โดนขัดขวางก่อกวนในพื้นที่
สหภาพแรงงานอุตสาหกรรมทอผ้าสมุทรสาคร(อ้อมน้อย-อ้อมใหญ่)เป็นกำลังหลัก และมีการต่อสู้ที่ดุเดือดในขณะนั้น พี่สุภาพ (แป๊ะ)จบจากเกษตร พิสิฐ (บัง)นิสิตจุฬา จากศูนย์ประสานงานกรรมกรเป็นที่ปรึกษาอยู่
ฉันก็อยู่ในศูนย์ฯเมื่อไม่ได้เป็นกรรมกรแล้วจึงไปเป็นที่ปรึกษา สมทบด้วย สงวนศรี เบญจางจารุ(เหน่ง) นักศึกษาปี1 จากศูนย์ศึกษาปัญหากรรมกร
เกษตรศาสตร์
พี่สงวนศรี ส่งกุล(เจ๊เซี้ยม) เป็นประธานสหภาพฯแทนประสิทธิ์ ไชโย กรรมการสหภาพฯเป็นผู้หญิงหลายคน เช่น
พี่น้อย (แตงอ่อน เกาฏีระ) พี่แหม่ม พี่เล็ก
อี๊ด ช่วงนี้ทางครอบครัวฉันตัดสินใจมาเช่าตึกหน้าหอสมุดแห่งชาติที่เทเวศร์
เปิดเป็นร้านขายหนังสือ มีหนังสือก้าวหน้าจำนวนมากด้วย เพื่อให้แม่ไม่ต้องไปเย็บผ้าอีก ฉันช่วยขายบ้าง แปลหนังสือได้เงินบ้าง เวลาไปอ้อมน้อยก็ไปครั้งละหลายวัน คนงานจะหุงข้าวเลี้ยงพวกเรา ซึ่ง กินอยู่กันอย่างง่ายๆ
ถ้าจำเป็นจริงๆฉันก็เคยขอเงินค่ารถกลับบ้านจากบรรดาพี่ๆแกนนำสหภาพเหมือนกัน
ฉันและเหน่งเข้าไปสอนกฎหมายแรงงานในโรงงานทอผ้าเพชรเกษม
เวลาที่คนงานออกกะ เราใส่ชุดคนงานเสื้อสีฟ้ากลมกลืนไปกับคนงานจนไม่มีใครสงสัย มีการประท้วงเกิดขึ้นบ่อยครั้งที่สหภาพฯต้องเข้าไปเป็นที่ปรึกษา ฉัน
พี่แป๊ะ บังและเหน่ง ก็ไปร่วมด้วยบางครั้ง วงดนตรีกรรมาชนของมหิดลมาเล่นให้คนงานที่ประท้วงบ่อยๆ เป็นจังหวะดนตรีและบทเพลงที่ปลุกเร้าใจกรรมกรมาก
คาราวานก็เป็นวงโปรดของพวกเรามากเช่นกัน
เวลาขากลับดึกๆพวกเราต้องระวังตัวกันมาก
เจ้าของบ้านเช่าที่สหภาพฯอ้อมน้อยอยู่มานานถูกข่มขู่ จนขอให้พวกเราย้ายออกไป
สหภาพฯไปหาที่เช่าใหม่ไม่ไกลจากนั้นแต่อยู่ในเขตอ้อมใหญ่
เย็นนั้นพวกเรากลับจากการไปร่วมชุมนุมประท้วงของคนงาน ก็เลยไปนอนเฝ้าที่ทำการใหม่ของสหภาพฯ ข้าวของเครื่องใช้ยังเกะกะเต็มไปหมด ฉัน
เหน่ง บังและพี่แป๊ะ นอนหลับด้วยความเหนื่อยเพลีย... ไม่รู้ตัวกันเลยว่า เช้าวันรุ่งขึ้น ๓๑ มีนาคม ๒๕๑๙ พวกราจะถูกจับคดีคอมมิวนิสต์ พร้อมกับกรรมกรอีก 5 คน
ที่ถูกจับในเวลาเช้ามืดวันเดียวกันที่อำเภอกระทุ่มแบน คือวิมุตติ์ ซึมรัมย์ (เสียชีวิตแล้ว) วันทา
รุ่งฟ้า ทองเหลือ มงคลอาจ
พรหมา นานอก นรินทร์
อาภรณ์รัมย์ ในข้อหาคดีเดียวกับเรา....ฉันและเพื่อนๆซาบซึ้งน้ำใจผู้คนมากมายที่เราไม่เคยรู้จัก แต่มาเยี่ยมเยียนพวกเราตลอดช่วงเวลาที่ยุ่งยากนั้น เรายังได้พบกับแม่ของประชาชนอีกหลายคน ที่มีน้ำใจโดยไม่เคยหวังสิ่งใดตอบแทน แม่กานดา แม่เตือนใจ แม่เล็ก แม่ขาว แม่วรรณา .หิ้วปิ่นโต หม้อข้าว ผักน้ำพริก มาฝากพวกเราที่ในคุกทุกอาทิตย์ทั้งที่ต้องนั่งรถเมล์และเดินไกลจากถนนวิภาวดีรังสิตเข้าไปกว่าจะถึงที่คุมขังของรร.พลตำรวจบางเขน แม่ๆสงสารและรักใคร่พวกเราไม่แพ้แม่ของเราแต่ละคนทีเดียว
แม่กานดาและแม่ๆ เริ่มต้นจากส่งข้าวคดีพวกเรา
เมื่อถึงยุคเผด็จการที่มีการจับกุมอีกมากมาย แม่ทั้งหลายไม่เคยเหนื่อยหน่าย ยังมอบความรักและความเป็นห่วงยาวนาน ตราบจนคดีคอมมิวนิสต์คนสุดท้ายได้พ้นจากคุก... แม่ฉันเองก็ไปคอยเยี่ยมเยียนคดีอ้อมน้อยและคดี
6
ตุลาด้วย หลังจากฉันเข้าป่าไปแล้ว ฉันเขียนจดหมายจากคุกลงนสพ.เสียงใหม่ ด้วยความซาบซึ้งใจเช่นนี้ เพื่อบอกเล่าเรื่องราวของแม่ประชาชน และเพื่อบอกแม่ของฉันเองไม่ต้องห่วงกังวลกับฉันนัก เพราะฉันเป็นลูกของประชาชน...
ชีวิตในคุกลาดยาวหญิง ...แล้วเราก็เข้าสู่บรรยากาศของกระแสขวาพิฆาตซ้ายจากภายนอก
ที่เริ่มขมึงเกลียวดุเดือดขึ้นเรื่อยๆ
รวมทั้งผลจากความไม่ยอมอ่อนข้อให้กับผู้คุม-เจ้าแม่แห่งอำนาจในคุกหญิง- ก็เริ่มสำแดงฤทธิ์ของมัน
ผู้ต้องขังแดนยาเสพติดร้องเพลงหนักแผ่นดินทุกวันอยู่ตรงข้ามแดนเรา
เราพยายามหลีกเลี่ยงไม่ไปยุ่งกับผู้คุมและผู้ต้องขังทั้งสิ้นถ้าไม่จำเป็น...
... ฉันกับเหน่งถูกวางแผนซ้อมในคุก โดยอาศัย"ขาใหญ่"สิบกว่าคน ที่เป็นผู้ต้องขังลูกมือผู้คุม ทนายทองใบ ทองเปาด์และกลุ่มนักศึกษาประชาชนรณรงค์ให้หลายละลอก มีข่าวจากสื่ออยู่หลายเดือน โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อมีการซ้อมในคุก...
วันที่
11
ก.ค.๑๙เพียงบ่ายสามโมงผู้คุมก็ให้ผู้ต้องขังขึ้นเรือนนอนใส่กุญแจทั้งหมด ทั้งที่ปกติจะขึ้นห้องประมาณห้าโมงเย็น ฉันมารู้ภายหลังว่า วันนั้นมีนักศึกษาประชาชนนั่งรถสองแถวมาถึง16 คัน ชูป้ายผ้าเป็นแถวยาวว่า ‘ก่อนจับบอกว่ามีหลักฐาน หลังจับก็บอกว่ากำลังรวบรวมหลักฐาน จงอย่าขังลืมผู้บริสุทธิ์’ จากนั้นจึงไปชุมนุมที่หน้าบ้านพัก
มรว.เสนีย์ ปราโมช และส่งตัวแทนยื่นข้อเรียกร้อง 1)ให้รัฐบาลวางมาตรการมิให้เกิดการซ้อมเช่นนี้อีก 2) ให้รัฐบาลดำเนินคดีด้วยความจริง ถ้าไม่มีหลักฐานก็ขอให้ปล่อยตัวไป
ก่อนหน้านี้ไม่กี่วันสุกัญญาฯพี่สาว ที่เป็นนักข่าวนสพ.ประชาธิปไตย
ขณะที่กำลังยืนสังเกตการณ์หน้าบ้านนายกฯ ระหว่างตัวแทนนักศึกษากรรมกร
เข้าไปเจรจา
รู้สึกว่าถูกลักลอบบันทึกภาพจากนายพิทักษ์
คันธจันทร์ นสพ.ดาวสยาม
จึงเข้าไปถามว่าถ่ายภาพไปทำไม
ควรจะถ่ายภาพเฉพาะกลุ่มคนที่เป็นข่าว
หลังจากนั้นสุกัญญาได้แยกตัวห่างออกมา 4 เมตรพร้อมทั้งผู้สื่อข่าวประชาชาติ และศานต์สยาม
นายพิทักษ์ได้ตรงเข้ามาต่อยที่ใบหน้าด้านขวาของสุกัญญาสองครั้งติดต่อกัน ต่อหน้าตำรวจประมาณ 20 นาย
ซึ่งรักษาการณ์อยู่หน้าบ้านนายกฯและช่างภาพนักข่าวจำนวนมาก
วันนั้นแม่ของฉันมาที่หน้าคุกลาดยาวด้วย ที่ชุมนุมให้แม่เล่าถึงฉัน เมื่อมีเรื่องพี่สาวถูกต่อยหน้าเพิ่มมาเป็นข่าวอีก
รายการข่าวยามเช้าของสมหญิงที่คอยวิพากษ์ขบวนนักศึกษาประชาชนอยู่อย่างต่อเนื่องก็ด่าว่าแม่ฉันเป็นคอมมิวนิสต์ไปด้วยอีก ที่เลี้ยงลูกสาวสองคนเป็นคอมมิวนิสต์...
พลังแห่งความรักความห่วงใยที่นักศึกษาประชาชน รวมทั้งกรรมกรมีต่อเราสองคนในสถานการณ์ที่โดดเดี่ยวในคุก
แม้ภายนอกพวกเขาจะถูกกระแสคุกคามการต่อสู้ของขบวนอย่างหนักหน่วงตลอดเวลาด้วยเช่นกัน ทำให้เราสองคนตื้นตันและซาบซึ้งใจอย่างมาก ถ้าไม่มีกระแสการเคลื่อนไหวเหล่านี้ ฉันกับเหน่งคงไม่มีโอกาสได้ประกันตัว เพราะถูกค้านการประกันตัวมาโดยตลอด
และถ้าไม่มีจิตใจที่เสียสละอย่างใหญ่หลวงของผู้หญิงที่เป็นนักธุรกิจหัวก้าวหน้าคนหนึ่ง
เสียสละโฉนดที่ดินมูลค่าสี่แสนบาทมาประกันตัวเราสองคน เราคงไม่มีปัญญาได้ประกันตัวเช่นกัน ทั้งนี้ด้วยการประสานงานอย่างเข้มแข็งและอดทนของวิชัย
บำรุงฤทธิ์ ที่เราต้องขอบคุณวิชัยและโดยเฉพาะอย่างยิ่งพี่สาวคนนี้เป็นพิเศษ
แล้วในที่สุด17 น.ของวันที่ 21 ก.ค. ศาลก็มีคำสั่งให้ประกันตัวเราสองคนในวงเงินคนละสองแสนบาท แต่ต้องมารายงานตัวทุก 15
วัน นักศึกษาประชาชนประมาณ 100 คนไปรอรับเราที่หน้าคุกลาดยาว
เราได้ปล่อยตัวออกมาเวลา 19.15 น. แม่และพี่ชายฉันก็ไปรับด้วย ขบวนที่ไปรับปรบมือให้กำลังใจเราสองคน ฉันตื้นตันใจมาก
สถานการณ์ตึงเครียดยิ่งขึ้นเมื่อสามเณรถนอมกลับเข้ามาในประเทศ ขบวนนักศึกษาประชาชนรู้ว่ามีโอกาสเสี่ยงต่อการถูกปราบปราม
แต่ในจิตวิญญาณแห่งการต่อสู้เพื่อพิทักษ์ประชาธิปไตย
ไม่อาจปล่อยให้ชนชั้นปกครองกระทำย่ำยีตามใจชอบ
ขบวนนักเรียนนักศึกษาประชาชนจึงชุมนุมคัดค้านครั้งใหญ่ที่ธรรมศาสตร์ และนำไปสู่เหตุการณ์นองเลือดที่วิปโยคและโหดเหี้ยมที่สุดของประวัติศาสตร์ไทย
ฉันไปช่วยงานที่ นสพ.อธิปัตย์ ของศูนย์กลางนิสิตนักศึกษาแห่งประเทศไทย ที่พี่สาว สุกัญญา เป็นกองบรรณาธิการอยุ่ และคณะนี้จะไปร่วมการชุมนุมทุกวัน คืนวันที่ 5 ตุลา พวกเราที่กองบก.ตั้งใจจะเข้าไปธรรมศาสตร์ตอนดึกหลังจัดทำต้นฉบับให้เรียบร้อย ได้ยินข่าวสถานการณ์ไม่สู้ดีนัก แต่ประมาณเที่ยงคืน น้องๆในธรรมศาสตร์ก็โทรศัพท์มาบอกพวกเราว่า...อย่าเข้ามาในธรรมศาสตร์ ตอนนี้มีทหารตำรวจล้อมไว้... เมื่อย้อนไปถึงตอนนั้น
เรารู้สึกถึงน้ำใจและความเข้มแข็งของพวกเราทุกคนในธรรมศาสตร์ แทนที่พวกเขาจะห่วงตัวเอง กลับห่วงมาถึงพวกเราภายนอก
พวกเราประเมินสถานการณ์แล้วเห็นว่า ความเป็นห่วงของพวกน้องๆสอดคล้องกับความเป็นจริง เพราะอธิปัตย์กำลังถูกจับตาจาก ’ฝ่ายขวา’และเตรียมที่จะปราบปราม
ตกลงกันว่า
เราจะทำต้นฉบับวันต่อไปให้เสร็จสมบูรณ์
ขณะที่ให้ทำลายเอกสารที่เกี่ยวข้องกับใครต่อใครและอาจเป็นอันตรายถ้าระบอบเผด็จการปราบปรามประชาชนจริงๆ ในช่วงเวลานั้น
ฉันตระหนักถึงความเข้มแข็งและรักใคร่กันของทุกคน
เนื่องจากฉันไม่ใช่กองบก.โดยตรง ในสภาพที่ทุกคนกำลังยุ่งยากเช่นนั้น ฉันจึงอาสาเป็นหน่วยยามปฏิบัติการพิเศษ ก่อนหน้านั้นไม่นานมิตรสหายที่หวังดีได้จัดหาปืนเล็กๆสองกระบอกไว้ป้องกันตัว แม้ฉันจะไม่เคยใช้มาก่อน
ฉันก็รับเป็นหนึ่งในสองคนของด่านหน้าที่ถือปืนไว้ ทุกคนเห็นด้วยกันว่า
ถ้าตำรวจบุกเข้ามาจับเราจะยอมให้จับโดยดี
แต่ถ้าเป็นพวกกระทิงแดงหรืออันธพาลกลุ่มใดก็ตาม เราจะสู้ตาย เพราะรู้ดีถึงความโหดเหี้ยมของพวกนี้...
ประมาณตีห้าพวกเราเสร็จภารกิจที่จำเป็น ไม่มีเหตุการณ์อะไรเกิดขึ้นที่นี่
แต่เรารู้ชัดแล้วว่ามีการล้อมปราบครั้งใหญ่ในธรรมศาสตร์แน่นอน เราตกลงแยกย้ายกันหลบภัยก่อน
ฉันและพี่สาวตกลงใจที่จะต้องเข้าไปเขตป่าเขา
ฉันพอรู้เลาๆว่าควรจะไปที่ไหน
เพราะหลังออกจากคุกมีการประเมินสถานการณ์ว่า
ชนชั้นปกครองน่าจะปราบปรามครั้งใหญ่อย่างแน่นอน
มีบางคนแนะนำให้รู้จักจุดที่พอพึ่งพิงได้ในยามคับขันที่จ.อุดรธานี แม้ฉันจะไม่เคยไป แต่เราก็ต้องลองเสี่ยงดู
เหน่งและพี่สาว รวมทั้งรุ่นน้องอีกคนในกองบก.อธิปัตย์ ขอไปกับเราด้วย เราไม่มีเวลาคิดอะไรมาก
นัดแนะกันแล้วต่างรีบกลับไปเก็บของที่จำเป็นที่บ้าน ฉันและพี่สาวอยากไปดูเหตุการณ์ด้วยตัวเอง เราตัดสินใจนั่งแท็กซี่ไปที่สนามหลวง
ขณะนั้นกำลังมีการเผาอย่างโหดเหี้ยมแล้ว... บรรยากาศที่เห็นแม้จะไม่ได้เข้าไปถึง
ที่เกิดเหตุอย่างใกล้ชิด
ก็ทำให้เราเศร้าสลดเหลือเกิน ฉันอยู่ระหว่างประกันตัวอยู่ด้วย ถ้าช้าไปคงถูกถอนประกันแน่นอน ถ้ากลับเข้าคุก ในยุคที่มืดสนิทอย่างนี้
คงเป็นเรื่องที่ไม่มีหนทางต่อสู้จริงๆ...
ฉันนึกถึงพี่สาวที่แสนดีต่อเรา แม้เราจะไม่เคยรู้จักมาก่อนก็ตัดสินใจเสี่ยงภัยและเงินทุนมาประกันให้เราสองคนถึงสี่แสนบาท ตอนเราได้ประกันตัวออกมา เราได้ไปขอบคุณพี่สาวที่ทำงานของเธอ ประทับใจในความคิดของเธอ เธอต้อนรับเราอย่างอบอุ่น ฉันรู้สึกปลาบแปลบในใจไม่น้อย เมื่อคิดว่า อะไรจะเกิดขึ้นกับเธอเมื่อเราสองคนหนีภัยไป... เธอจะมีอันตรายไหม? ศาลคงยึดเงินทั้งหมดของเธอไป? ฉันเศร้าใจมาก แต่เมื่อนึกถึงความโหดเหี้ยมที่กำลังเกิดขึ้นต่อเบื้องหน้า และสถานการณ์ที่ไม่มีทางสู้ของฉันเอง ฉันตัดสินใจว่า ขอรักษาชีวิตตนเองไว้ก่อน เพื่อไปต่อสู้ต่อไป สักวันหนึ่งถ้าฉันไม่ตาย คงได้กลับมาทดแทนบุญคุณของเธอบ้าง...
พอไปถึงบ้านเราสองคนบอกแม่กับพี่ชายว่าจำเป็นต้องไปป่า แม่คัดค้าน
บอกว่าแม่จะอธิบายให้เจ้าหน้าที่ฟังเองถ้าเขาจะมาจับลูก จะบอกว่าลูกสาวของแม่เป็นคนดี เราเข้าใจความรู้สึกของแม่และพี่ชายดี เขาเสียสละเพื่อเราสองคนมายาวนาน บัดนี้
เรายังจะทิ้งเขาไปอีกและเสี่ยงภัยโดยไม่รู้ชะตากรรมของตัวเองได้เลย หลังจากถกเถียงกันพักใหญ่ เราตัดสินใจหักหาญน้ำใจของแม่และพี่ชาย เร่งรีบออกจากบ้านไปตอนสายของวันที่ 6 ตุลา มุ่งหน้าไปบ้านเพื่อนของสุกัญญา
เราห้าคนนัดกันที่นั่น หลบฟังข่าวอยู่สองสามวัน ในวันที่ 9 ตุลาคม
เราก็เป็นหน่วยแรกที่เข้าป่าเขตงานภูซาง
จ.อุดรธานี(จ.หนองบัวลำภูในปัจจุบัน) เป็นผู้หญิงล้วนทั้งห้าคน ด้วยความช่วยเหลือของเพื่อนจากจุฬาฯคนนี้ ช่วยหาเสื้อผ้าแบบสาวๆนักท่องเที่ยว เครื่องสำอางแต่งหน้าให้ดูแปลกตา และจัดหาเงินติดกระเป๋า รวมทั้งผ้าถุง ของใช้ที่จำเป็นให้พวกเรา พาเราไปส่งขึ้นรถทัวร์ไปอุดรธานี ถ้าไม่ได้เพื่อนชมรมอนุรักษ์จุฬาฯคนนี้ เราคงจะขลุกขลักกว่านี้อีกมาก
เราจากลาครอบครัว
ทอดทิ้งเพื่อนๆในคดีอ้อมน้อยให้เผชิญชะตากรรมต่อไป อย่างโดดเดี่ยว
ความเป็นห่วงแม่และพี่ชาย เพื่อนพ้องน้องพี่ท่วมท้นใจพวกเรา แต่ขอได้โปรดรับรู้ว่า
เป็นการตัดสินใจไปที่ไม่รู้ว่าจะเผชิญกับชะตากรรมอย่างไรเช่นกัน ...
“ขอแต่เพียงมีโอกาสเลือกที่จะมีชีวิตและอิสรภาพ เผื่อจะสามารถจับปืนขึ้นสู้ แก้แค้นแทนทุกคน และมีโอกาสสร้างสังคมใหม่ที่ดีกว่านี้...
ถ้ายังมีชีวิตรอดอยู่”
ก้าวต่อไปด้วยความศรัทธา
เพลง
‘แสงดาวแห่งศรัทธา’
ของ จิตร ภูมิศักดิ์
ช่วยจรรโลงใจเราก้าวต่อไปบนเส้นทางที่ดูมืดสนิทในวันนั้น ....
พร่างพรายแสงดวงดาวน้อยสกาว ส่องฟากฟ้าเด่นพราวไกลแสนไกล
ดั่งโคมทองส่องเรืองรุ่งในหทัย เหมือนธงชัยส่องนำจากห้วงทุกข์ทน
พายุฟ้าครืนข่มคุกคาม เดือนลับยามแผ่นดินมืดมน
ดาวศรัทธายังส่องแสงเบื้องบน
ปลุกหัวใจปลุกคนอยู่มิวาย....
ทุกเรื่องตั้งแต่ต้นจนจบ ผมอ่านด้วยความซาบซึ้ง เพราะอยู่ร่วมในสถานการณ์เดียวกัน เพียงแต่ไม่ใช่นักกิจกรรมเหมือนคุณสุนี อ่านไป น้ำตาซึม ไปด้วย อยากถามว่า "วันนี้พี่ชายของคุณ ยังมีชีวิตอยู่หรือไม่ ช่วยแจ้งด้วยนะครับ ขอบคุณที่คุณยังทำงานเพื่อ คนยากคนจน อยู่ แม้ใน พ.ศ.2556 ที่ พวกเราจำนวนมาก ที่ไมู่รู้ว่า ทิศทางและวิธีการใด ที่ควรจะ เดินไปหาและด้วยวิธีการต่อสู้แบบใด ที่ถูกต้องที่สุด
ตอบลบขอบคุณมากค่ะ ต้องขออภัยที่ไม่ได้ตอบกลับมา เน่ืองจากไม่รู้ว่าตอบในนี้ได้หรือไม่ ถ้าติดต่อได้ กรุณาช่วยตอบให้ทราบ เพื่อแลกเปลี่ยนกันต่อไปค่ะ
ลบ