เรื่องของแม่...วีรสตรีของลูก
ชีวิตของแม่ที่เปี่ยมด้วยความรักและเสียสละเพื่อลูก ท่ามกลางการเผชิญกับความเจ็บปวดของชีวิตคู่
เป็นเรื่องราวการต่อสู้ของชีวิตผู้หญิงคนหนึ่ง ซึ่งเป็นคนเล็กๆในซอกหลืบของสังคมที่ไม่มีใครสนใจรับรู้และเกี่ยวข้องด้วย แต่ก็เป็นการต่อสู้ที่ทรหดอดทน ไม่มีวันยอมแพ้ และสามารถสร้างผลยิ่งใหญ่ต่อการเปลี่ยนแปลงในชีวิตของฉันและพี่สาวพี่ชาย
โดยไม่ต้องรอการเปลี่ยนแปลงระดับโครงสร้างของสังคม แต่ก็ช่วยพัฒนาจิตสำนึกให้เรียนรู้คำว่า ‘เรื่องส่วนตัวคือเรื่องการเมือง’ ในเวลาต่อมาได้ง่ายขึ้น ....
ฉันเพิ่งมารู้ตอนหลังกลับจากเขตป่าเขานี้เอง
ว่าความทุกข์ใจทั้งหลายในครอบครัวที่แม่ต้องเผชิญจนก่อนที่จะหย่านั้น แม่ไม่เคยปริปากเล่าให้ก๋งกับยายฟังเลย
เพราะไม่อยากให้ก๋งกับยายเป็นห่วงและไม่สบายใจ ยายมารู้ก็ต่อเมื่อแม่หย่าแล้วนั่นเอง
ที่เสียดายมากที่สุด
คือการที่แม่ไม่มีโอกาสเรียนหนังสือทั้งที่ก๋งมีฐานะพอส่งเสียได้ เพียงเพราะแม่เป็นลูกผู้หญิง ฉันเชื่อว่าแม่จะเรียนได้เก่งทีเดียว เพราะแม่ชอบอ่านหนังสือมาก ตอนพวกเราอยู่โคราช
จำได้ว่าสามคนพี่น้องจะไปขลุกอยู่ในห้องสมุดประชาชนที่อยู่ใกล้บ้าน นั่งอ่านหนังสือกันเป็นบ้าเป็นหลัง รวมทั้งขอยืมกลับมาให้แม่อ่านด้วย ....
โคราชมีห้องสมุด มีสวนสาธารณะและอนุสาวรีย์ย่าโม
กับกำแพงเมืองที่เป็นแหล่งวิ่งเล่นและเรียนรู้ของเราอย่างสนุกสนาน แต่ในขณะเดียวกัน โคราชมีสนามม้าทุกเสาร์-อาทิตย์ พ่อซึ่งชอบเล่นการพนันอยู่แล้ว กลายเป็นทาสม้าแข่ง เงินเดือนไม่เคยเหลือมาให้แม่เลย กระทั่งยามหน้ามืดต้องการเงิน ยังมาบีบคั้นเอาจากแม่
ซึ่งเก็บออมเงินจากการขายผักและการเย็บเสื้อโหลไว้ ในช่วงนั้นแม่ทนดูความขาดแคลนไม่ไหว โดยเฉพาะเพื่อให้ลูกสามคนมีเงินไปโรงเรียน แม่เคยเย็บผ้าเป็นบ้าง
จึงพยายามไปซื้อจักรเก่าๆมาหนึ่งตัวรับจ้างเย็บเสื้อโหล ซึ่งราคาถูกมาก ตัวละไม่ถึงบาท แม่เย็บทั้งวันจนดึกได้สิบกว่าบาทก็มี บางครั้งแม่ไม่มีให้ พ่อก็เอาหัวจักรของแม่ไปจำนำ และแม่ก็ต้องกัดฟันไปหาเงินไถ่ออกมาอีก
ในยามว่างพี่สาวของฉันคอยช่วยแม่กรีดชิ้นส่วนผ้าให้พร้อมจะเย็บเป็นตัว
เพื่อให้แม่เย็บได้เร็วขึ้น พี่ชายมีหน้าที่ทำกับข้าว
ฉันในฐานะลูกคนเล็กก็ช่วยถูบ้านล้างชามเท่านั้น
โรงเรียนเราอยู่หน้าบ้านจึงทำให้สะดวกขึ้น พี่ชายพี่สาวได้ที่หนึ่งตลอด ฉันก็ได้บ้างบางครั้ง แม่พยายามให้เราได้ร่วมกิจกรรมกับเพื่อนๆ จำได้ว่าเรายังได้ใส่ชุดสวยๆรำหงส์เหิน รำไทยใหญ่ในงานโรงเรียน
สภาพการณ์หนักหน่วงขึ้นเรื่อยๆ พ่อติดทั้งม้าแข่ง การพนันอื่นและเหล้า
พ่อหาเรื่องระรานแม่บ่อยครั้งขึ้น
การเงินยิ่งยอบแยบลงทุกขณะ
พ่อเป็นหนี้เป็นสินหนัก
แม้แต่เราทั้งสามคนก็ไม่มีค่าเทอม
เพราะพ่อไปขอเบิกราชการล่วงหน้ามาหมดแล้ว
พอจะหมดเวลาที่โรงเรียนผ่อนผันแต่ละครั้ง
คุณครูซึ่งเอ็นดูพวกเราทั้งสามก็จะคอยเตือน
แม่ไม่มีทางออกอื่นใดนอกจากพาเราทั้งสามบากหน้าไปขอความช่วยเหลือจากป้าลุง
ญาติทางพ่อที่จ.นครนายกที่พอมีฐานะและรักพ่อในฐานะน้องชายคนเล็ก แม้ว่าเราจะพอหาเงินมาจ่ายค่าเทอมได้ทุกครั้งเมื่อจำเป็น แต่เราทุกคนก็เศร้าและหดหู่ใจมาก
กว่าจะได้เงินมาแต่ละครั้งมันเจ็บปวดเหลือเกิน แต่แม่จะคอยให้กำลังใจให้อดทน เพื่อจะเรียนไปให้สูงสุดเท่าที่จะทำได้ ...
แม่ร้องไห้บ่อยครั้ง ทำงานหนักยิ่งขึ้น พ่อก็ติดการพนันและเหล้าหนัก กระทั่งไม่อายใคร อาละวาดด่าทอแม่และพวกเรามากยิ่งขึ้นเช่นกัน จนบางครั้งแม่ทนไม่ไหว หนีไปอยู่กับเพื่อนสนิทที่นครนายก พ่อก็จะไปตามกลับมาอีก แม่ห่วงพวกเราจึงกลับมาทุกครั้ง
... พวกเราเริ่มถามแม่ว่า ทำไมไม่พาพวกเราหนีไปจากพ่อ?
แม่จะทนสภาพเช่นนี้ไปทำไม? แม่จะร้องไห้
บอกให้พวกเราอดทน
แม่บอกว่าแม่ไม่สามารถส่งเสียพวกเราเรียนหนังสือได้ถ้าไปอยู่ตามลำพังแม่ต้องการให้เราเรียนหนังสือสูงที่สุดที่จะทำได้ก่อน เรากับพ่อห่างเหินกันยิ่งขึ้นเรื่อยๆ
ช่วงเวลาเหล่านี้เองที่ฉันได้เรียนรู้ชีวิตของผู้หญิงเมียเช่า
ตามสวนสาธารณะ
อันเป็นผลจากการมีฐานทัพอเมริกัน ทหารอเมริกันในโคราช เรื่องราวผู้หญิงปากแดงทำงานบาร์ใกล้บ้าน ชีวิตเมียน้อย ควบคู่กับชีวิตรันทดของแม่และพวกเราเอง
เราก็ยิ่งดื่มด่ำกับการอ่านหนังสือมากขึ้น
ทำให้ฉันซึมซับเรื่องราวปัญหาสังคมและการลุกขึ้นสู้ได้อย่างง่ายดาย ทั้งเรื่องของผู้หญิงและการคัดค้านรัฐบาลเผด็จการกับจักรพรรดินิยมในเวลาต่อมา
โดยเฉพาะเมื่อได้เรียนต่อที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ...
แม่เขียนบันทึกช่วงเวลานี้ไว้ว่า...
“ตั้งแต่แม่เริ่มทำงานที่รังสิต
พ่อของลูกไม่เคยช่วยเหลือครอบครัวเลยแม้แต่บาทเดียว มาอยู่ปทุมธานีได้สองปี พ่อของลูกก็ลาออกจากราชการ ไปทำงานรัฐวิสาหกิจ โดยรับเงินบำเหน็จแล้วไปซื้อบ้านหลังเล็กๆในสวนอยู่ที่หน้าวัดเขมาภิรตาราม แม่ก็ไปทำงานที่จ.นนทบุรี
ส่วนพ่อของลูกไปทำงานอยู่ไม่ถึงสองปีก็ไม่ยอมไป หนีไปเฉยๆ หาว่างานหนักมากไม่เหมือนราชการ ตอนนี้ก็เอาแต่เที่ยวแล้วก็เล่นการพนัน
เสร็จแล้วก็มาระรานทางบ้านจนถึงขั้นแตกหัก แล้วเราก็ไปหย่ากัน
ก่อนไปหย่าก็ตกลงกันว่าแม่รับผิดชอบลูกทั้งสามแต่เพียงผู้เดียว
แต่แม่ขออยู่บ้านนั้นก่อนจนกว่าลูกจะสอบไล่ปลายปีเสร็จ ...“
แม่เขียนถึงการหย่าอย่างแสนจะเป็นเรื่องที่ง่ายดายและธรรมดาเสียนี่กระไร
เมื่อฉันทบทวนย้อนหลังในชีวิตของพวกเรา
ฉันได้เรียนรู้ปัญหาที่ใหญ่ยิ่งและยืดเยื้อยาวนานสำหรับการตัดสินใจของผู้หญิงคนหนึ่ง กว่าแม่จะฝ่าด่านนี้มาได้
ทำให้ฉันเข้าใจปัญหาการต่อสู้เพื่อความเสมอภาคของผู้หญิงในเรื่องความรักและครอบครัวอย่างลึกซึ้ง...
เมื่อแม่มีรายได้มากขึ้นตอนมาเย็บผ้าที่รังสิต
ความมั่นใจที่จะเลี้ยงดูลูกสามคนด้วยตนเองตามลำพังชัดเจนขึ้น
เพราะความเป็นจริงแม่ก็เป็นคนหาเงินเลี้ยงเองอยู่แล้ว แถมยังต้องให้พ่ออีกด้วย การที่ผู้หญิงจะต้องพึ่งตนเองทางเศรษฐกิจให้ได้
เป็นปมเงื่อนสำคัญให้ผู้หญิงมีอิสระในการตัดสินใจและมีทางเลือกในชีวิตของตนเอง
จึงซาบซึ้งแก่ฉันอย่างมากจากชีวิตของแม่ และทำให้ฉันอ่านทฤษฎีของมาร์กซิสต์ที่พูดถึงผู้หญิงในเรื่องนี้อย่างเข้าใจและชื่นชม
เราสามคนพูดคุยกับแม่เรื่องการหย่าหลายครั้ง
แต่มาติดอยู่สองปัญหาที่ยิ่งใหญ่สำหรับพวกเรา และไม่รู้จะไปปรึกษาใคร...
ข้อแรก พ่อเคยพูดแล้วว่าจะไม่ยอมหย่า
แม่ถามคนพอมีความรู้มาว่าถ้าเป็นเช่นนี้ต้องไปฟ้องหย่า แต่จะทำอย่างไรที่จะหาค่าทนายและเรื่องกฎหมายที่เราไม่มีความรู้พอ
ข้อที่สองน่ากลัวกว่าข้อแรกอีก
...แม่รู้มาว่า ถ้าหย่ากัน เนื่องจากพ่อมีความรู้ มีบ้าน
เคยเป็นข้าราชการมาก่อน และในฐานะ.
‘พ่อ’
พ่อจะมีสิทธิเลือกเอาลูกไปเลี้ยงมากกว่าแม่ที่เป็นคนเลี้ยงดูตอนนี้เสียอีก ซึ่งพอพูดถึงเรื่องนี้พวกเราก็หัวหด เปลี่ยนใจที่จะสนับสนุนให้แม่ขอหย่ากันหมด เพราะไม่มีใครอยากไปอยู่กับพ่อสักคน
ดังนั้น ชีวิตครอบครัวจึงลุ่มๆดอนๆเช่นนี้ต่อมาจนถึงปี 2513...
อีกสองเดือนพี่ชายจะจบปี
3
เทคนิคซึ่งสามารถเรียนต่อได้อีกจนจบชั้นสูง
ส่วนฉันกับพี่สาวกำลังจะจบชั้นม.ศ. 5
เตรียมเข้ามหาวิทยาลัย ซึ่งการเรียนของเราทั้งสองก็พอมีสิทธิลุ้นแข่งขัน
แล้วก็เกิดเหตุการณ์ที่พลิกผันชีวิตเรา
ซึ่งในสายตาของบางกลุ่มอาจถือเป็นความล้มเหลวและเป็นปัญหาครอบครัว แต่สำหรับพวกเรา ... ถือเป็นชัยชนะ
เป็นการปลดปล่อยที่ยิ่งใหญ่สำหรับชีวิตของแม่และเราเองทั้งสามคน
การมีพ่อแม่ลูกเพื่อภาพว่าครอบครัวอบอุ่นนั้นไม่ใช่คำตอบที่ตายตัว
ถ้าเด็กและผู้หญิงต้องทนอยู่กับครอบครัวที่เต็มไปด้วยความทุกข์ เราคงจะต้องเป็นเด็กมีปัญหามากกว่า ขอเพียงแต่สังคมเข้าใจและช่วยหาทางออก
ทั้งกฎหมายและวิถีชีวิตที่จะพึ่งตนเองได้ดีและมั่นคงต่อไป
ผู้หญิงและเด็กก็จะฝ่าฟันชะตากรรมเหล่านั้นไปได้อย่างมีพลัง โดยไม่ถูกคิดอย่างเหมารวมว่า ครอบครัวแตกแยกทำให้เด็กมีปัญหา!
คืนนั้น พ่อกลับเข้าบ้านด้วยอารมณ์โมโหสุดขีด เพราะเสียการพนันหมดตัว แม่กำลังนั่งม้วนผมอยู่หน้าโต๊ะเครื่องแป้ง เราสามคนนั่งทำการบ้านอยู่บริเวณนั้น
พ่อมาถึงก็ผลักเก้าอี้ที่แม่นั่งล้มลงอย่างแรงท่ามกลางความตื่นตระหนกของพวกเรา ปากก็ร้องด่าว่าที่แม่ทักห้ามพ่อไปเล่นการพนันเมื่อเช้า ... ทำให้ซวย!... พร้อมกับตามเข้าไปเหมือนจะทำร้ายแม่ที่กำลังพยายามลุกขึ้น
พี่ชายฉันพุ่งเข้าจับตัวพ่อแล้วดึงออกมาจากแม่
เมื่อพ่อเอะอะดิ้นรนและด่าว่าเป็นลูกอกตัญญู
พี่ชายจึงดึงแกมลากพ่อไปอีกห้องหนึ่งแล้วปิดประตูไม่ให้ออกมา
ปล่อยให้พ่อด่าทอโวยวายอยู่ในห้องทั้งคืน
ขณะที่พวกเรานั่งร้องไห้กับแม่เกือบทั้งคืนเช่นกัน
แล้วสิ่งที่พวกเราไม่คาดฝันก็เกิดขึ้น ด้วยความโกรธอย่างมาก ในตอนเช้าเมื่อพี่ชายเปิดประตูให้พ่อออกมา พ่อก็ประกาศ ‘ไปหย่ากันที่อำเภอเดี๋ยวนี้กูไม่เอาลูกสักคน’... ความฝันของพวกเราก็เป็นจริง พ่อหย่าให้โดยดีและไม่เอาลูกสักคนจริงๆ พวกเราสุดแสนจะยินดีปรีดาเป็นที่สุด
แม้ว่าพ่อกลับจากอำเภอมาจะผิดสัญญากับแม่ ที่จะให้พวกเราอยู่จนสอบไล่เสร็จก่อน โดยไล่พวกเราทุกคนออกจากบ้าน จำได้ว่าพวกเราก็ไม่เสียใจ ไม่ตกใจ
พร้อมจะเผชิญกับชะตากรรมเอาดาบหน้า
เก็บข้าวของที่จำเป็นโดยเฉพาะหนังสือเรียนและชุดนักเรียน แล้วแม่ก็พาพวกเราไปที่บ้านน้าติ่มน้องชายของแม่แถวพรานนก เพื่อฝากฝังให้อยู่จนสอบไล่เสร็จก่อน และแม่ก็ไปหางานทำใหม่แถวสามแยกไฟฉายด้วย
เรื่องนี้พ่อไปบ่นว่าพวกเราให้ญาติพี่น้องฟัง โดยเฉพาะพี่ชายว่าเป็นคนอกตัญญู กล่าวหาว่าแม่มีชู้ แต่เราไม่สะดุ้งสะเทือนอะไร
ฉันรู้ดีว่าพี่ชายต้องเจ็บปวดเพียงใดกับการที่ต้องทำเช่นนี้
พี่ชายเคยตั้งท่าจะเข้าไปช่วยแม่หลายครั้งแล้ว แต่ความที่เกรงว่าเป็นพ่อ จึงไม่กล้าขัดขวางพ่อ ต้องขอบคุณพี่ชายที่ตัดสินใจปกป้องแม่ และทำให้เราแก้ปัญหาเรื้อรังในชีวิตได้ ญาติพี่น้องทางพ่อเข้าใจเรื่องราวกันดี
ทำให้พวกเรากับญาติทางพ่อยังคงมีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน
เมื่อฉันเรียนมหาวิทยาลัยแล้ว พ่อเคยมาตามขอคืนดีกับแม่ พวกเราบอกว่าแล้วแต่แม่ แต่แม่ยืนยันด้วยท่าทีสงบนิ่ง ขอให้เลิกจากกันไปด้วยดี และทุกวันนี้แม่ก็มีความสุขกับชีวิตที่ตัดสินใจเช่นนี้อย่างไม่เคยเสียใจกับอดีตอีก ต่อมาพ่อมีภรรยาใหม่ และได้บวชนับสิบปีแล้ว (หลวงพ่อมรณภาพไปเมื่อหลายปีก่อน...พวกเราและแม่ไปเป็นเจ้าภาพจัดงานศพร่วมกับญาติพี่น้องและภรรยาใหม่ของพ่ออย่างแข็งขัน)
พี่ชายฉันเป็นคนที่ไปเยี่ยมเยียนดูแลมากที่สุดในบรรดาพวกเรา
พี่ชายฉันเป็นคนที่ไปเยี่ยมเยียนดูแลมากที่สุดในบรรดาพวกเรา
ทุกคนรู้สึกไม่ชอบใจกฎหมายนามสกุลที่ไม่เป็นธรรมต่อผู้หญิงและเด็ก เรารู้สึกอยากต่อต้านเมื่อไม่สามารถต่อสู้เอาชนะทางกฎหมายขณะนั้นได้ เราก็พากันเลิกใช้นามสกุลเดิม โดยพี่ชายอายุครบ 20 ปี
ก็ไปยื่นขอตั้งนามสกุลใหม่ เป็น ‘เกียรติจรัส’
และเปลี่ยนชื่อจาก ‘สันต์’ เป็น
‘พิจักษณ์’ ส่วนฉันกับพี่สาวเมื่อแต่งงานก็เปลี่ยนนามสกุลไปตามสามีทั้งสองคน และฉันก็เปลี่ยนชื่อจาก ‘นิภาพรรณ’เป็น ‘สุนี’ อีกด้วยตอนจดทะเบียนสมรส
การร่วมเผชิญปัญหาและเข้าร่วมกับการต่อสู้ของแม่ เสมือนหนึ่งเป็นชีวิตของฉันนั่นเอง
ทำให้เราตระหนักถึงปัญหาที่ลึกซึ้งของความรุนแรงในครอบครัว ที่กระทำต่อจิตใจของผู้หญิงหนักหน่วง และต้องการความช่วยเหลือจริงๆจากสังคมและหน่วยงานของรัฐ
เพื่อมีทางออกในชีวิตแทนการอดทนอย่างเจ็บปวดอย่างเดียว และมันส่งผลต่อลูกมากเหลือเกิน ฉันนึกภาพตัวเองและพี่ไม่ออกเลยว่า ถ้าเรายังอยู่ในสภาพเดิมต่อไป ชีวิตฉันกับพี่ๆอาจตกต่ำกว่านี้มาก
ฉันได้เรียนรู้ปัญหาจากกฎหมายตั้งแต่ช่วงนั้นอย่างซาบซึ้ง
ทำให้เข้าใจถึงความจำเป็นที่ต้องแก้ไขกฎหมายที่ไม่เสมอภาคต่อผู้หญิง ประเด็นสำคัญคือ การที่ผู้หญิงต้องได้มีโอกาสเรียนรู้เพื่อพัฒนาศักยภาพตนเอง เพื่อสามารถพึ่งตนเองทางเศรษฐกิจให้ได้ จึงจะเป็นเงื่อนไขที่กำหนดชะตาชีวิตตนเองได้
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น