ความรัก และ ความเสมอภาค
พวกเราทั้งหญิงชายประทับใจ วัลยา ใน ความรักของวัลยา และ รัชนี ใน ปีศาจ ของ เสนีย์ เสาวพงศ์ ถือว่าเป็นภาพแห่งอุดมคติของหนุ่มสาวยุคนั้นทีเดียว ที่จะต้องเลือกคนรักที่ตื่นตัวทางการเมือง
เมื่อเรวัตรที่มีทั้งศักดิ์แห่งสกุลและความมั่งมี ตอบคำถามวัลยาที่ว่า “ผู้หญิงต้องการอะไรในความรัก’ ด้วยคำตอบว่า ‘เรือต้องการทะเลกว้าง ไก่ต้องการคอนสูง และผู้หญิงต้องการชีวิตที่ผาสุกและสงบ” วัลยา ปฏิเสธการขอความรักของเรวัตรด้วยคำพูดที่ว่า...
“ สำหรับบางคนอาจเป็นเช่นนั้น ความรักเพื่อความสุขและแต่งงานเพื่อความสุข . . แต่ความหมายของ ‘ความสุข’ ของเรและของวัลย์ต่างกัน การร่วมชีวิตกับคนที่มีสกุลสูงและมั่งมีอย่างคุณ เป็นชีวิตที่ราบเรียบและซ้ำซากอย่างน่าเบื่อหน่าย มันราบเรียบจนมองเห็นเชิงตะกอนเผาศพตัวเองและหนังสือแจกงานศพรายทางข้างหน้าโน้นได้อย่างถนัดชัดเจน วัลย์ไม่ต้องการความสุขชนิดนั้น ความสุขของวัลย์อยู่ที่ความคาดหมาย การต่อสู้และความเสี่ยง แต่มันไม่ใช่การเสี่ยง อย่างนักเซ็งลี้ที่อาจเป็นเศรษฐีหรือล้ม แต่เป็นการเสี่ยงและต่อสู้ของคนทำงานเพื่อการสร้างสรรค์ มันอาจจะเป็นการแบกพร้าเข้าป่าดิบที่ไม่เคยมีใครเข้ามากล้ำกราย แล้วต่อมาทางที่ไม่เคยมีใครรู้มาก่อนนั้น ได้กลายเป็นทางที่สัญจรไปสู่ความเจริญรุ่งเรืองของคนภายหลัง (เสนีย์, 2544 : 17) [1]
แน่นอนว่า อุดมคติหรือความใฝ่ฝันกับความเป็นจริง บางทีก็อาจไม่เดินไปด้วยกันได้อย่างง่ายดาย ความรักและครอบครัวซึ่งละเอียดอ่อนด้วยหัวใจและอารมณ์ความรู้สึก จึงเป็นเรื่องหนึ่งที่ซับซ้อนและจัดการได้ยากที่สุดเกือบทุกคน สำหรับเยาวชนก็เป็นเรื่องปกติธรรมดาที่ส่วนใหญ่จะมีคนรัก บางคนอาจได้คนรักที่ก้าวหน้าทางความคิด แต่อาจไม่ส่งเสริมให้ผู้หญิงมีบทบาทนอกบ้านเพื่อสังคมมากนัก หรือหวงมากไป ยังคิดว่าผู้หญิงเป็นสมบัติส่วนตัว ไม่อยากให้สนิทสนมกับผู้ชายคนอื่น บางคนได้คนรักที่ไม่ตื่นตัวทางการเมือง แต่พร้อมจะสนับสนุนช่วยเหลือในสิ่งที่ผู้หญิงศรัทธาจะทำอย่างเต็มที่ ผู้ชายบางคนยังมองเห็นผู้หญิงเป็นของเล่นหรือเป็นช้างเท้าหลัง บางคนมีท่าทีรักผู้หญิงหลายคนไปพร้อมกัน...
ผู้หญิงเป็นฝ่ายที่มีท่าทีไม่ถูกต้องก็มี เช่น หึงหวงเกินไป หรือมีรักแบบเสรี ไม่รับผิดชอบต่อคนรัก หรือคาดหวังที่จะให้คนรักมาดูแลมากเกินไป จนมีผลกระทบต่อการทำงานส่วนรวมทั้งสองฝ่าย หรือรู้อยู่ว่าเขามีคนรักแล้ว ก็อาจจะไปรักเขาอีก ทำให้ผู้ชายได้โอกาสที่จะเสรีมากขึ้น
ฉัน และเพื่อนๆหลายคน ต่างก็มีคนรักในช่วงเวลานั้น ส่วนใหญ่ทำงานกิจกรรมร่วมกัน คนรักฉันอยู่คณะรัฐศาสตร์ปีเดียวกัน ในกลุ่มสภาหน้าโดม ไม่น้อยมีความรักข้ามมหาวิทยาลัย โดยทั่วไปเราต่างเป็นเพื่อนร่วมงานร่วมต่อสู้ เป็นเพื่อนคู่คิด และช่วยให้ต่างฝ่ายเติบโตในการเรียนรู้และต่อสู้ จำนวนมากยืนหยัดอยู่ด้วยกันจนถึงปัจจุบัน แต่มีจำนวนไม่น้อยเช่นกันที่กาลเวลาและเหตุการณ์ได้เปลี่ยนแปลงความรักระหว่างเขาและเธอในช่วงนั้นในเวลาต่อมา รวมทั้งฉันด้วย
ความรักและครอบครัวจึงเป็นเรื่องที่มีทั้งสุขและทุกข์ ในแง่ของความเสมอภาคหญิงชาย ความรักต้องเริ่มต้นจากความสมัครใจ มีเวลาเรียนรู้ซึ่งกันและกัน แต่ยังเป็นเรื่องที่ท้าทายเมื่อจะต้องตัดสินใจเลิกจากกัน มีคำถามที่บางครั้งอธิบายได้ยาก บนเส้นแบ่งระหว่าง‘ เสรี ไม่รับผิดชอบ’ กับ‘อิสระที่จะเลือกและตัดสินใจ ถ้าคิดว่าเข้ากันไม่ได้’ เพราะในกลุ่มก้าวหน้าเราชูคำขวัญยึดมั่นรักเดียวใจเดียว ต้องอดทนและปรับตัวเข้าหากัน แต่เมื่อผ่านไปแล้วช่วงหนึ่งถ้าพบว่า เรารู้สึกไม่มั่นใจ ไม่มีความสุขกับความคิดและท่าทีบางอย่างที่เราคิดว่าสำคัญสำหรับเรา แต่เขาก็ยังเป็นคนดีมีจุดยืนที่ดีในการต่อสู้ทางการเมือง การที่จะไม่รักต่อไปนั้น มีเหตุผลอะไร?...
เมื่อผ่านประสบการณ์ชีวิตเพิ่มขึ้น ฉันจึงมีข้อสรุปว่า ปัญหาสำคัญอยู่ที่ทำอย่างไรทั้งสองฝ่ายจึงจะมีท่าทีเคารพต่อกันและจากกันด้วยดี เป็นเพื่อนกันต่อไปได้ ไม่ว่าจะจากกันในฐานะคนรักหรือแต่งงานแล้ว เพราะความรักเป็นสัจจธรรมข้อหนึ่งที่ไม่อาจยืนยงถาวรได้ตลอดกาล แต่ก็ยังต้องพ่วงด้วยความรับผิดชอบที่พึงมีต่ออีกฝ่ายหนึ่ง เมื่อมีลูกเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย รวมทั้งเมื่อมีความรักข้ามชนชั้นในเขตป่าเขาจำนวนมากและต้องจากกัน... ซึ่งเป็นตำนานแห่งความรักอีกเรื่องหนึ่งที่เกิดขึ้นในท่ามกลางประวัติศาสตร์แห่งการต่อสู้
กระแสการวิพากษ์ความคิดที่กดขี่เอาเปรียบดูถูกผู้หญิงที่ตกทอดจากระบบศักดินา และจากการตื่นตัวศึกษา ซึ่งมีกระแสร่วมกันว่า นอกจากศึกษา‘โลกทรรศน์เยาวชน’เพื่อทำความเข้าใจสังคมและโลก เพื่อเปลี่ยนสังคมให้ดีและไม่มีการเอารัดเอาเปรียบต่อกัน แต่ยังไม่เพียงพอ ถ้าไม่มีการศึกษา’ชีวทัศน์เยาวชน’ เพื่อดัดแปลงความคิดตนเองที่ตกทอดมาจากสังคมแบบเก่า ทำให้เกิดกระแสที่ดีให้เยาวชนหนุ่มสาวเริ่มตระหนักถึงการเคารพศักดิ์ศรีผู้หญิง ตระหนักถึงการดัดแปลงตนเองในเชิงทัศนคติ และอย่างน้อยที่สุดก็ช่วยให้ในขบวนได้เรียนรู้อุดมการความเสมอภาคหญิงชายไปด้วย [2]
มีหนังสือเล็กๆไม่ระบุสำนักพิมพ์และปีที่พิมพ์ ต่อมาจึงรู้กันว่าพิมพ์จากหนังสือในป่าชื่อ ‘ชีวทัศน์เยาวชน’ ซึ่งพิมพ์หลายครั้งในรูปเล่มเล็กๆ ได้รับความนิยมสูงที่สุด ทั้งในแง่อ่านง่ายกระทัดรัด และถูกนำไปเป็นหัวข้อศึกษาในการร่วมกันดัดแปลงตนเองของกลุ่มต่างๆ โดยเฉพาะเยาวชนและผู้หญิง มีอยู่ 18 หัวข้อ อาทิ ทัศนะชนชั้น รักประชาชน รักชาติ รักการใช้แรงงาน เข้าร่วมงานรับใช้มวลชน ประชาธิปไตย วินัย ท่าทีต่อศัตรู ท่าทีต่อสหาย วิจารณ์และวิจารณ์ตนเอง แนวทางมวลชน ครอบครัวและความรัก ขยัน ประหยัด เรียบๆง่ายๆ ทรหดอดทน [3]
เมื่อคาดหวังร่วมกันที่จะเป็นเยาวชนกองหน้า นักต่อสู้เพื่อสังคมใหม่ จึงมีการเรียกร้องต่อตนเองและเพื่อน เช่น ช่วงนั้นมีข่าวนักกิจกรรมชายในมหาวิทยาลัยทำนักศึกษาหญิงและกรรมกรท้อง รวมทั้งการมีท่าทีสัมพันธ์พร้อมกันหลายๆคนอย่างไม่รับผิดชอบ จึงเริ่มมีการ’วิพากษ์รักเสรี ‘ มีการนำปัญหาที่เกิดจากความสัมพันธ์ที่ไม่ถูกต้องจนมีผลกระทบต่อสมาชิกกลุ่มหรือการทำงานในกลุ่ม มาพูดคุยต่อหน้ากันอย่างตรงไปตรงมาในหลายกลุ่มที่ทำงานสนิทสนมกันอย่างมาก เช่น ในกลุ่มผู้หญิง ศูนย์นักศึกษาครูฯ กลุ่มยุวชนสยาม ซึ่งอาจมีผลให้หลายคนรู้สึกรับไม่ได้อยู่บ้าง[4]
ในกลุ่มผู้หญิงธรรมศาสตร์เองก็มีบางคนรู้สึกไม่เห็นด้วย ว่าเป็นเรื่องเล็กและเป็นเรื่องส่วนตัวของแต่ละคน พอมีการจัดกลุ่มศึกษาเรื่องท่าทีต่อความรักนี้ บางครั้งพวกเราก็มีจุดอ่อน ไปสนใจถามหาตัวบุคคลว่าเป็นใครกัน แทนที่จะพูดกันในหลักการ คนที่รู้ก็อาจเอาไปพูดซุบซิบต่อ อย่างไรก็ตาม ในการพูดคุยย้อนหลังเรื่องราวนี้ เพื่อนๆน้องๆที่ร่วมรำลึกความหลังกันก็ยอมรับว่า การเรียกร้องให้เยาวชนดัดแปลงตนเอง ถือเป็นการศึกษาศีลธรรมที่ดี เป็นคุณธรรม จริยธรรมที่ทุกคนควรจะมี นอกจากจะมีอุดมการณ์ที่ต้องการต่อสู้เพื่อประชาชน ซึ่งจะช่วยเป็นกรอบและฉุดรั้งพวกเราเยาวชนหญิงชายมิให้ถลำผิดลงไป เตือนให้ชายมีจิตสำนึกให้เกียรติต่อผู้หญิง ในการทำงานเป็นกลุ่มที่มีการศึกษาและวิจารณ์ร่วมกันก็ช่วยเตือนสติซึ่งกันและกัน เพราะเราจะใช้เวลากับเพื่อนและกิจกรรมมากกว่าในครอบครัว ... แต่การมีภาพคนดีเป็นกรอบตายตัวไว้ โดยไม่ได้คำนึงถึงข้อจำกัดของแต่ละคนและวิวัฒนาการของสังคม ก็อาจมีท่าทีที่เป็นปัญหาบ้าง
ช่วงเวลานั้นสมาชิกในกลุ่มผู้หญิงจะโดนแซวเป็นประจำ ว่าพวกเราเป็นนักตรวจสอบ เรื่องรักเสรีบ้าง กินเหล้าบ้าง แต่ก็มีผลสะเทือนที่ดีตรงที่นักกิจกรรมชาย ถ้าจะพูดหรือมีท่าทีไม่ค่อยดีเกี่ยวกับผู้หญิงก็จะต้องระมัดระวังมากขึ้น โดยเฉพาะเรื่องเที่ยวผู้หญิงถือว่าร้ายแรงทีเดียว ใครจะไปทำอะไรไม่ดีก็ต้องแอบๆไป ถือเป็นการสร้างเกณฑ์ของสังคมเพื่อกระตุ้นจิตสำนึก ซึ่งประเด็นความเสมอภาคหญิงชายเป็นเรื่องชัดเจนจนถึงปัจจุบันนี้ว่า ที่แก้ไขยากที่สุดก็คือการเปลี่ยนทัศนคติของคนนี่เอง ทั้งผู้หญิงผู้ชาย และถ้ากลุ่มที่อยู่ในฐานะนำของสังคมช่วยกันเป็นแบบอย่างที่ดี และร่วมกันรณรงค์จิตสำนึกโดยปลูกฝังทัศนะที่ถูกต้องตั้งแต่เยาวชนทั้งหญิงชาย ความเสมอภาคหญิงชายก็จะดีขึ้นอย่างแน่นอน
[1] ในเรื่องปีศาจ สาย สีมา ลูกชาวนาที่ไปรักกับรัชนี ลูกผู้ดี จนถูกเหยียดหยามอย่างหนัก ก็ได้สร้างวาทะที่คมคายในการต่อสู้ทางจิตสำนึก ทำให้รัชนีตัดสินใจออกจากบ้านเพื่อออกมาสู่โลกและชีวิตใหม่ โดยไม่ยอมอยู่ในครอบครัวที่ไม่เปิดอิสรภาพและทางเลือกแก่เธอเลย
“ท่านเข้าใจผิดที่คิดว่าผมจะลอกคราบตัวเองขึ้นเป็นผู้ดี เพราะนั่นเป็นการถอยหลังกลับ เวลาได้ล่วงไปมากแล้ว ระหว่างโลกของท่านกับโลกของผมมันก็ห่างกันมากมายออกไปทุกที ผมเป็นปีศาจที่กาลเวลาได้สร้างขึ้นมาหลอกหลอนคนที่อยู่ในโลกเก่า ความคิดเก่า ทำให้เกิดความละเมอหวาดกลัวและไม่มีอะไรที่จะเป็นเครื่องปลอบใจท่านเหล่านี้ได้ เท่ากับไม่มีอะไรหยุดยั้งความรุดหน้าของกาลเวลาที่จะสร้าง ปีศาจเหล่านี้ให้มากขึ้นทุกที “...(เสนีย์, 2543 : 192)
[2]มีหนังสือที่เน้นการเข้าใจต่อ(โลกทรรศน์ที่ถูกต้องในการรับใช้ประชาชน อาทิ อนุช อาภาภิรม ,โลกทรรศน์เยาวชน,และ หนุ่มสาวคือชีวิต(สำนักพิมพ์วรรณศิลป์ ,มิถุนายน 2517) ส่วนที่เกี่ยวกับการเรียกร้องและดัดแปลงตนเอง (ชีวทัศน์เยาวชน) อาทิ
‘ชีวิตกับความใฝ่ฝัน’ โดยบรรจง บรรเจอดศิลป์(สำนักพิมพ์ดอกหญ้า,กันยายน 2521) ในบทว่าด้วย ‘มองเห็นประชาชน’:
..“เธอจะต้องไม่ดูหมิ่นการทำงาน ไม่ดูหมิ่นประชาชนคนงาน เพราะเขาได้อุทิศแรงงานของเขาเพื่อผลประโยชน์ของส่วนรวม ...ในแง่นี้ เธอจะต้องรักประชาชน พึ่งประชาชน เพื่อประชาชน และเข้าเป็นส่วนหนึ่งของประชาชน เยาว์ ในวิถีดำเนินอันยิ่งใหญ่ของประวัติศาสตร์ และในการต่อสู้ดิ้นรนเพื่อแสวงหาสัจจะของประชาชนนั้น เธอเป็นเสมือน‘น้ำหยดหนึ่งในมหาสมุทร’เท่านั้น เพียงน้ำหยดหนึ่งเท่านั้นย่อมไม่สามารถจะกลายเป็นละลอกคลื่นอันมหึมาที่จะถล่มฟ้าละลายดินได้ ฉะนั้น เธอจงมีอหังการต่อศัตรูเถิด แต่เธออย่ามีอหังการต่อประชาชน ต่อมิตรและต่อสหายของเธอ” (น.56-57)
‘สารแด่นิด’ โดยประสานที่พิมพ์ครั้งแรกโดยสำนักพิมพ์ปิตุภูมิ ในวันสตรีสากล 8 มีนา2500 พิมพ์ครั้งที่สองโดยกลุ่มดรุณีเหล็ก เนื่องในวันเยาวชน-ประชาชนปฏิวัติ 14 ตุลาคม 2517 และพิมพ์ครั้งที่สามโดยกลุ่มดรุณีสยาม ในวันสตรีสากล 8 มีนา 2519 ประสานได้สรุปตอนหนึ่งว่า “ถ้าหากว่า เสียงกระซิบกระซาบระหว่างหนุ่มสาว เป็นเสมือนหนึ่งมโหรีที่ดีดด้วยพิณสวรรค์แล้ว เสียงมโหรีนี้จะเสนาะเพราะพริ้งยิ่งขึ้น เมื่อประสานกับเสียงเพลงสดุดีชัยชนะของเพื่อนมนุษย์ทั้งหลาย ที่เอาชนะต่อคนและธรรมชาติ เพื่อเสริมสร้างเสรีภาพและอิสรภาพให้ยืนยงถาวร” (น.39)
‘คิดอย่างเยาวชนใหม่’ ในหัวข้อ’เคารพสตรี’ : “การไม่เคารพสตรีเป็นปรากฏการณ์ที่ชั่วร้ายอย่างหนึ่งของสังคมเก่าซึ่งเราจะต้องกำจัดให้สิ้นซาก..ในหมู่เยาวชนเราไม่น้อยที่ติดเอาความคิดของชนชั้นขูดรีด หลอกลวงและถือเอาผู้หญิงเป็นเครื่องเล่น ทอดทิ้งภรรยาของตน... ยังมีเยาวชนบางคนติดเอาความคิดแบบศักดินา เขาถือเอาภรรยาของตนเหมือนบ่าว บังคับต่างๆนานา ทุบตีด่าว่าตามชอบใจหรือดูถูกผู้หญิงอยู่ในใจ ถือว่าอย่างไรก็สู้ตนไม่ได้ นี่ก็เป็นความคิดที่ไม่ถูก เนื่องจากความแตกต่างกันทางธรรมชาติ เราไม่ควรเรียกร้องให้ผู้หญิงต้องทำงานทุกอย่างให้เหมือนผู้ชาย และในการทำงานผู้ชาย ผู้หญิงบางคนโดยเฉพาะผู้หญิงแม่บ้านแม้ว่าจะก้าวหน้าช้ากว่าในบางด้าน แต่นั่นเป็นเพราะสาเหตุต่างๆโดยเฉพาะคือผลสะท้อนของสังคมเก่า ซึ่งเราจะถือเป็นสาเหตุในการดูหมิ่นพวกเขาไม่ได้เป็นอันขาด ดังนั้น ระหว่างผู้หญิงผู้ชายต้องเคารพกันช่วยเหลือกัน และก้าวหน้าไปด้วยกัน ปรากฏการณ์ที่ดูหมิ่นเหยียดหยามสตรีไม่ว่าด้วยข้ออ้างใดๆ ล้วนผิดทั้งสิ้น โดยเฉพาะการทุบตีด่าว่าและทอดทิ้งภรรยา เป็นพฤติการณ์ที่ควรตำหนิอย่างเข้มงวด(น.120-121) (ไม่ระบุผู้เขียนและที่พิมพ์ ต่อมาพิมพ์ในชื่อ แด่...เยาวชน อีกครั้งหนึ่ง โดยชมรมแสงดาว )
[3]ในบทครอบครัวและความรัก :“เมื่อนำปัญหาความรักมาเปรียบเทียบกับปัญหาทั้งหมดของชีวิตมาเปรียบกับงานปฏิวัติแล้ว ความรักระหว่างเพศก็เป็นเพียงเรื่องเล็กน้อยเท่านั้น แต่อีกด้านหนึ่ง เราก็ไม่ควรถือความรักเป็นของเล่น. ถ้าวันนี้ท่านรักคนนี้ พรุ่งนี้รักคนโน้น เปลี่ยนคนรักเหมือนเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้ว ท่านก็ได้ทำให้ตัวท่านเองและคนรักของท่านต้องเสียกำลังใจ กำลังกาย เวลาเรียนและเวลาทำงานไปเปล่าๆ นำความยุ่งยากมาสู่และทำให้ผู้อื่นต้องระทมขมขื่น . ท่าทีเช่นนี้เป็นการหาความสุขบนความทุกข์ของผู้อื่น เป็นท่าทีของชนชั้นขูดรีด.
เยาวชนที่ก้าวหน้าควรจัดการปัญหาความรักเช่นนี้คือ 1) ถ้าท่านอายุยังน้อย ถ้าแต่งงานแล้วจะขัดขวางการงานและการเรียน ท่านก็ควรรอไปก่อนอย่าด่วนสร้างความรักหรือแต่งงานเร็วเกินไป 2) เมื่อถึงเวลาสมควรจะรักกันได้ ท่านควรเลือกเป้าหมายที่มีทัศนะการเมืองไม่ขัดกัน และถ้าแต่งงานกันแล้วก็ไม่ก่อผลเสียแก่งงานปฏิวัติ. ท่านอย่าถือรูปร่างหน้าตาเงินทองยศศักดิ์เป็นหลัก แต่ควรถือคุณความดีของเขาเป็นหลัก คือถือเอาการรับใช้ประชาชนของเขาเป็นหลักในการเลือกคู่ครอง. ถ้าเขาเห็นแก่ตัวแล้ว ทำตัวไม่เป็นมิตรต่อประชาชน ท่านก็ไม่ควรรักเขา..3) ทั้งสองฝ่ายควรรักกันด้วยความสมัครใจ ไม่ใช่ฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดรักข้างเดียว 4) หลังจากแต่งงานแล้ว ท่านต้องรักกัน เคารพกัน ช่วยเหลือกัน ก้าวหน้าไปด้วยกัน. ผลักดันให้ต่างฝ่ายต่างถืองานปฏิวัติเป็นใหญ่ เอาผลประโยชน์ของครอบครัวไปขึ้นต่อผลประโยชน์ของการปฏิวัติ ช่วยกันอบรมบ่มสอนลูกให้เป็นคนดีรับใช้มวลชนต่อไป ท่านต้องไม่ประพฤติตนเหลวแหลก ไม่สำส่อนทางเพศ เป็นแบบอย่างอันดีของประชาชนในการดำเนินระบอบผัวหนึ่งเมียเดียว ” (น.183-186)
[4]กระแสชล (นามแฝง)ของสุกัญญา พี่สาวฉัน ที่เขียนคอลัมน์ผู้หญิงชื่อ ‘ เล็บ’ ในนสพ.เสียงใหม่ ช่วงปี 2517-18 ซึ่งจะเขียนสะท้อนภาพของผู้หญิงแบบใหม่ เชิดชูผู้หญิงผู้ใช้แรงงานและเรียกร้องความเสมอภาคทางเพศ ครั้งหนึ่งเปิดประเด็นวิจารณ์‘รักเสรี’ โดยเฉพาะผู้ชายที่อยู่ในขบวนแถวของการต่อสู้ ในความหมายไม่ให้มีรักแบบเผื่อเลือกซึ่งทำให้เสียหายต่อผู้หญิง และทำให้บรรยากาศการทำงานร่วมกันในกลุ่มเสียหาย ต่อมาฤดี เริงชัย คอลัมน์สตรีใน’ อธิปัตย์’ ของศูนย์กลางนิสิตฯวิจารณ์เรื่องนี้ต่อ ซึ่งในความเป็นจริงมีกรณีเช่นนี้จริง ประกอบกับมีการศึกษาชีวทัศน์เยาวชน ทำให้มีการวิจารณ์ในประเด็นเหล่านี้ขยายวงต่อไป
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น