วันอาทิตย์ที่ 23 มกราคม พ.ศ. 2554

การต่อสู้กับค่านิยมแบบศักดินา และทุนนิยม : ผู้หญิงในวรรณคดี และ การประกวดนางงาม(ตอน ๗ การหลอมรวมอุดมการณ์เฟมินิสต์ ประชาธิปไตยและสิทธิมนุษยชน)


การต่อสู้กับค่านิยมแบบศักดินา  และทุนนิยม :
ผู้หญิงในวรรณคดี    และ  การประกวดนางงาม







นงลักษณ์  เทวะศิลชัยกุล ช่วยฉันฟื้นความทรงจำที่เราทั้งสองคน   กลุ่มผู้หญิงและกลุ่มอิสระ  ร่วมกันจัดอภิปรายและช่วยกันเขียนเรื่องราวในนิทรรศการ มุ่งวิพากษ์วิจารณ์ซากเดนความคิดแบบศักดินาที่ส่งผลต่อผู้หญิงมายาวนาน  วิเคราะห์ค่านิยมที่ปลูกฝังทรรศนะกดขี่ต่อผู้หญิงจากวรรณคดี    ซึ่งช่วงนั้นมีการโต้แย้งกันอย่างคึกคักจนมีบางคนใช้คำว่า เผาวรรณคดี   ซึ่งแท้จริงแล้ว   ไม่มีความคิดรุนแรงกันถึงขนาดนั้น     เพียงแต่เน้นที่การคัดค้านความคิดแบบเก่าๆ   ที่มอมเมาผู้หญิง และทำให้ผู้ชายเอาเปรียบผู้หญิงนั่นเอง
งานนี้จัดที่หอประชุมใหญ่ธรรมศาสตร์อยู่หลายวัน   บรรยากาศคึกคักมาก ถือเป็นการรณรงค์มิติจิตสำนึกเรื่องผู้หญิงที่ส่งผลสะเทือนไม่น้อย   เท่าที่พอจำได้มีสมัย  สนทอง(อาภาภิรม)  สนทะเล  จากเดลินิวส์ มาร่วมอภิปราย  
ข้อเขียนของสมชาย  ปรีชาเจริญ (จิตร  ภูมิศักดิ์)เรื่อง   อดีต  ปัจจุบัน  และอนาคตของสตรีไทย   ที่ตีพิมพ์ครั้งแรกเมื่อปี 2500   เริ่มมีการนำมาพิมพ์เผยแพร่ใหม่ เป็นเล่มหนึ่งที่มีส่วนทำให้ผู้หญิงตื่นตัวกันมาก และรู้สึกเห็นจริงไปด้วย    รวมทั้งผู้ชายจำนวนมากก็เข้าใจผู้หญิงมากขึ้น...
    ปัญหาความเสมอภาคหรืออีกนัยหนึ่งความเท่าเทียมระหว่างหญิงและชาย   เป็นปัญหาที่มีประวัติศาสตร์อันยาวนานของมันเองโดยเฉพาะ       เป็นเวลาอันนานนับด้วยศตวรรษทีเดียว         ตลอดช่วงระยะเวลาแห่งประวัติศาสตร์ของสังคมไทยที่หญิงได้ถูกกดขี่  เหยียดหยามและเหยียบย่ำให้ทรุดลงสู่ก้นบึ้งแห่งการเป็นผู้พึ่งพิง  เป็นเบี้ยล่างของบรรดาชายทั้งมวล   จากการมองย้อนหลังกลับไปในประวัติศาสตร์   จะพบว่าหญิงไทยทั้งมวลนั้น    นอกจากจะถูกกีดกันไว้ให้อยู่ต่างหากจากความเคลื่อนไหวของชีวิตทั้งในด้านการจัดระบบเศรษฐกิจ  การเมืองและสังคมแล้ว   หญิงไทยทุกชั่วชนที่ผ่านมายังถูกเหยียบยำคุณค่าแห่งการเป็นคน   จนเหลือคุณค่าซึ่งถ้าจะยังมีอยู่   ก็เพียงเป็นวัตถุบำบัดความใคร่และทาสรับใช้ในเรือนผู้ซื่อสัตย์     ซึ่งมีหน้าที่โดยตรงอันบังคับอยู่ประการเดียว    คือดูแลรักษาบ้านเรือน อันหมายรวมถึงการทำครัว  ทำความสะอาดบ้าน  ซักรีดเสื้อผ้า   อุ้มท้อง   ให้กำเนิดลูก   เลี้ยงลูกและงานอื่นๆในข่ายนี้ซึ่งมีอีกมากมาย  และก็โดยเหตุที่หญิงไทยและแม้หญิงแห่งชนชาติอื่น ได้ถูกลดคุณค่าลงเป็นเพียงวัตถุบำบัดความใคร่  และทาสรับใช้ผู้ซื่อสัตย์เช่นนี้เอง        เธอจึงมิได้มีบทบาทในชีวิตทางด้านอื่นนอกเหนือไปจากนี้    เป็นต้นว่า   ชีวิตทางการเมือง  แน่นอนผลของมันก็คือ       หญิงกลายเป็นเพศที่โง่เขลา   งมงาย   ไร้ความรู้  ความสามารถ       และท้ายที่สุดก็ตกเป็น   ช้างเท้าหลัง    ตามสำนวนไทย..   (สมชาย,:64-65)
    ในยุคหลังก็มีข้อเขียนทั้งบทความ  บทกวี  เกี่ยวกับเรื่องค่านิยมที่กดขี่และมอมเมาผู้หญิงจำนวนมาก[1]   รวมทั้งการจัดการอภิปราย    นิทรรศการอีกหลากหลายเรื่องราว   ที่เป็นการรณรงค์จิตสำนึกต่อปัญหาผู้หญิง  ดังนั้น  เมื่อจะมีการหวนจัดประกวดนางสาวไทยในงานวชิราวุธานุสรณ์    วังสราญรมย์อีกครั้งหนึ่งหลังจากที่หยุดไปนานหลายปี   ทำให้กลุ่มผู้หญิงไปชักชวนกลุ่มอิสระต่างๆ    เช่น  กลุ่มสภาหน้าโดม    กลุ่มเศรษฐธรรม    ชมรมนิติศึกษา  ในธรรมศาสตร์    สภากาแฟ  มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์   กลุ่มฟื้นฟูโซตัสใหม่  จุฬาฯ     รวมทั้งกลุ่มยุวชนสยาม     จัดการรณรงค์คัดค้านการประกวดนางสาวไทย  
   หนังสือพิมพ์เช้าวันที่ 28  พฤศจิกายน 2515  ลงข่าวและภาพชูโปสเตอร์หราของกลุ่มประท้วงกลางที่ประกวดนางสาวไทย   ไพจง  ไหลสกุล  เล่าว่า:
    เมื่อกลุ่มอิสระต่างๆไปถึงงานวชิราวุธ   ก็เดินจับกลุ่มไปยังเวทีประกวดนางสาวไทย    แล้วพยายามหาซื้อตั๋วราคาถูกที่สุดเข้าไป   พอบรรดาผู้ประกวดนางสาวไทยเดินออกมา   พวกเขาก็คลี่โปสเตอร์ชูขึ้นประท้วงและแจกใบปลิวประณามการประกวดนางสาวไทย   ว่าเป็นการทำลายคุณค่าของหญิงไทย   มีผลเสียต่อศีลธรรมและประเพณีอันดีงามของสังคมไทย ฯลฯ ซึ่งเมื่อนักข่าว  ช่างภาพเห็น   ก็พากันถ่ายรูปพวกเขาอย่างจ้าละหวั่น     ส่งผลให้การประกวดนางสาวไทยปั่นป่วนไปพักหนึ่ง...   (จรัล ,2546 :118)    
    พี่จรัล  ดิษฐาอภิชัย  เล่าว่า  แม้เขาเองจะไม่ค่อยเห็นด้วยกับการต่อต้านครั้งนี้   เนื่องจากต้องการให้กลุ่มผู้หญิงและกลุ่มอิสระไปร่วมกันเดินขบวนต่อต้านสินค้าญี่ปุ่น      ที่ศูนย์กลางนิสิตนักศึกษาแห่งประเทศไทย (ศนท.)ในยุคของ ธีรยุทธ  บุญมี  เป็นเลขาธิการ   จะจัดขึ้นในอีกสามวันข้างหน้ามากกว่า    แต่การประท้วงครั้งนี้ก่อให้เกิดการอภิปรายถกเถียงในหมู่ประชาชนว่า     การประกวดนางสาวไทยมีผลดีหรือผลเสียอย่างไรอยู่หลายวัน     พี่จรัลจึงมีข้อสรุปว่า..
    แม้การเคลื่อนไหวนี้มีคนร่วมจำนวนน้อย    และค่อนข้างรุนแรงในสายตาผู้จัดการประกวดนางสาวไทย   และบรรดาสาวสวยผู้เข้าประกวด    แต่เมื่อเป็นข่าวหนังสือพิมพ์และการอภิปราย ของสาธารณชน     ทำให้ภาพพจน์ของขบวนการนักศึกษาโดยรวมชัดเจนยิ่งขึ้นว่า  นักศึกษามีความคิดอุดมคติที่ดีงามเช่นไร(น.118)     

สลิลยา  มีโภคี ช่วยย้อนความจำช่วงนี้ว่า   หลังจากเราไปประท้วงแล้ว   มีการมาสรุปบทเรียนการเคลื่อนไหวครั้งนี้ร่วมกับทุกกลุ่มอิสระที่ไปด้วย      มีการประเมินกันทั้งข้อดี-ข้ออ่อน[2]
ฉันยืนยันได้ว่า  การรณรงค์ครั้งนี้ไม่ได้มีผลกระทบต่อการเดินขบวนต่อต้านสินค้าญี่ปุ่นแต่อย่างใด  ฉันและเพื่อนๆกลุ่มอิสระหลายมหาวิทยาลัยไปประชุมเตรียมงานร่วมกับ ธีรยุทธ  บุญมี  ที่ตึกจักรพงษ์   ของสโมสรนิสิตจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย   เราตัดชุดนักศึกษาผ้าดิบ รวมทั้งเสื้ออื่นๆใส่กันอย่างเอิกเกริก   และร่วมเดินขบวนกันอย่างเต็มที่     บางทีผู้คนมักจะกังวลเกินไปเช่นนี้  มักจะคิดแต่ว่าถ้าผู้หญิงไปเคลื่อนไหวประเด็นจิตสำนึกต่อผู้หญิง   จะไปกระทบหรือขัดขวางการต่อสู้เพื่อประชาธิปไตย     ทั้งที่พวกเขาควรจะมาสนับสนุนและร่วมกันมากกว่า  เพราะจิตสำนึกที่ดีต่อผู้หญิงล้วนสนับสนุนการเคลื่อนไหวเพื่อประชาธิปไตยทั้งสิ้น
ฉันและน้องๆจำได้ว่า   เราจะพูดคุยเรื่องใกล้ตัวกันในกลุ่มผู้หญิง  เช่น สิทธิในเนื้อตัวร่างกายของผู้หญิง    ที่จะมีสิทธิร่วมในการตัดสินใจที่จะทำแท้งเมื่อคิดว่าจำเป็น    ( แต่มิใช่การทำแท้งเสรีเพื่อให้ผู้หญิงไปเที่ยวเสเพล หรือเสรีทางเพศตามที่มักนำไปโจมตีกัน)      การทำความเข้าใจชีวิตโสเภณี     ถกเถียงกันถึงการประกวดนางงาม   และภาพของผู้หญิงในสื่อสิ่งพิมพ์ต่างๆ     ความรักและครอบครัว         การไม่มีสถานเลี้ยงดูเด็กสำหรับกรรมกรและคนจนที่มีคุณภาพและราคาไม่แพง  จนถึงการลุกขึ้นสู้ของผู้หญิงต่างประเทศ      ควบคู่กับการศึกษาเรียนรู้จากวรรณกรรม    วิเคราะห์ปัญหาสังคม    การต่อสู้เพื่อประชาธิปไตย     และกิจกรรมด้านสาธารณประโยชน์  

การได้รับรู้ปัญหาสังคม    รู้ซึ้งถึงปัญหาที่ผู้หญิงได้รับทีละเล็กละน้อยในแง่มุมต่างๆของชีวิตผู้หญิง     ทำให้ฉันและเพื่อนๆน้องๆยิ่งเกิดจิตสำนึกที่จะต่อสู้เพื่อการพัฒนาในวงกว้างต่อมา
 ความมีชีวิตชีวาในกลุ่มผู้หญิงที่เรายอมรับร่วมกันทุกรุ่นคือ    การที่เรามีเพื่อนพ้องน้องพี่ที่รู้ใจกันลึกซึ้ง     การพูดคุยกันได้ทั้งกว้างและลึก    ทั้งเรื่องในครอบครัว        จนถึงปัญหาการไปทำกิจกรรมต่างๆในกลุ่มอิสระอื่นๆ   ในนามพรรคพลังธรรมหรือ อ.ม.ธ.   มีความอบอุ่นและใส่ใจดูแลกันและกัน   บรรยากาศเช่นนี้จะต่างจากกลุ่มอื่นๆ    จึงเสมือนหนึ่งการสร้างพลังให้กับทุกคน   และกลายเป็นพลังของกลุ่มไปด้วยเช่นกัน        
สมาชิกกลุ่มผู้หญิงจึงเริ่มต้นจากความหลากหลาย   มีทั้งนักเรียนทุน เอเอฟเอส ที่สนใจการต่อสู้ของขบวนสิทธิผู้หญิงในตะวันตก     มีผู้ศรัทธาต่อแนวคิดสังคมนิยม     และมีทั้งผู้ที่สนใจศาสนา   แต่ส่วนใหญ่เมื่อผ่านการทำกิจกรรมไประยะหนึ่ง      ท่ามกลางกระแสกดดันจากระบอบเผด็จการ   ได้เรียนรู้ความคิดประชา ธิปไตย   กระแสอุดมการสังคมนิยม ก็มีผลทำให้ทุกคนโลดแล่นไปกับขบวนประชาธิปไตย    และเข้าร่วมการต่อสู้เพื่อความเป็นธรรมในเวลาต่อมา    



   [1]ระบบทุนนิยมปัจจุบันพัฒนาทุกรูปแบบ  ที่จะหาประโยชน์จากเรือนร่างของผู้หญิง     ไม่ว่าการพิมพ์ภาพโป๊เปลือยของผู้หญิง  การโฆษณาสินค้า   การค้าผู้หญิง    บังคับผู้หญิงขายบริการทางเพศ   การเปิดโปงการครอบงำกดขี่ทางจิตสำนึกต่อผู้หญิงจึงเป็นเรื่องสำคัญมาก   มีบทกวีจำนวนมาก เช่น นายสาง มือสตรีนั้นหนามหาศาลในน.ส.พ.ปิตุภูมิฉบับที่ 7ปีที่ 1วันที่10มีนาคม  2499    เพื่อเปิดโปงทั้งยุคศักดินาและยุคทุนนิยม   และปลุกเร้าให้ผู้หญิงตระหนักถึงพลังตน
                                                                               
   [2] จิตติมา  พรอรุณ  สรุปในวิทยานิพนธ์ของเธอว่า   การประกวดนางงามเป็นประเด็นหนึ่งที่กลุ่มสตรีทั้งสองฝ่าย (เสรีนิยมและสังคมนิยม)ต่างก็มีความคิดเห็นที่คัดค้านร่วมกัน   โดยกลุ่มสตรีฝ่ายสังคมนิยมมีการเคลื่อนไหวต่อต้านการประกวดนางงามที่ชัดเจนกว่าฝ่ายเสรีนิยม   แม้จะไม่ได้ประสานงานกัน   แต่ก็เป็นกิจกรรมการเคลื่อนไหวที่มีแนวคิดสอดคล้องกัน  และยังได้สร้างแนวร่วมที่สำคัญ   เป็นปัจจัยหนึ่งที่ส่งผลกระทบให้การประกวดความงามต้องซบเซาลงชั่วระยะกว่า10 ปีทีเดียว(2516-2526) ( จิตติมา,2538 : 216-8)

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น