วันอังคารที่ 25 มกราคม พ.ศ. 2554

ผู้หญิงกับการเมือง : บทบาทในพรรคพลังธรรม (ม.ธรรมศาสตร์) : ตอน ๙-การหลอมรวอุดมการณ์เฟมิสต์ ประชาธิปไตย และสิทธิมนุษยชน(ร่วมเฉลิมฉลอง๑๐๐ปีวันสตรีสากล)


ผู้หญิงกับการเมือง  : บทบาทในพรรคพลังธรรม (ม.ธรรมศาสตร์)

   




กลุ่มอิสระในธรรมศาสตร์รวมทั้งกลุ่มผู้หญิงธรรมศาสตร์    เคลื่อนไหวให้นักศึกษามีส่วนร่วมในกระบวนการสรรหาอธิการบดี    และเรียกร้องให้เปลี่ยนข้อบังคับว่าด้วยการปกครองนักศึกษาจากรูปแบบสโมสรนักศึกษามหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ (ส.ม.ธ.)    ซึ่งมีตัวแทนนักศึกษาจากแต่ละคณะไปเลือกนายกสโมสรและกรรมการ       ให้เป็นรูปแบบองค์การนักศึกษามหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ (อ.ม.ธ.)     ซึ่งประกอบด้วยสภานักศึกษาที่มาจากการเลือกตัวแทนของนักศึกษาทุกชั้นปี  และเลือกคณะกรรมการบริหารองค์การนักศึกษาเป็นกลุ่ม     เพื่อให้เกิดความอิสระในการใช้สิทธิปกครองตนเองของนักศึกษา    และมีประสิทธิภาพมากกว่าระบบเดิม
   หลังจากผลักดันมาหลายปี  ข้อบังคับว่าด้วยองค์การนักศึกษามหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ก็ผ่านความเห็นชอบของสภามหาวิทยาลัยฯ   เมื่อวันที่  22  กุมภาพันธ์ 2516   [1]             
กลุ่มอิสระรวมทั้งกลุ่มผู้หญิงประชุมเตรียมการเลือกตั้งอย่างกระตือรือร้น     มีมติร่วมกันให้จัดตั้งพรรคพลังธรรม (จากการตั้งชื่อของ สำราญ  มูลวิทยา)   เพื่อดำเนินงานทางการเมือง        โดยมีรายชื่อผู้ก่อตั้ง 74 คน   เป็นชาย 49  คน มีฉันและเพื่อนหญิง 25 คนซึ่งมาจากกลุ่มผู้หญิง และผู้หญิงในกลุ่มอิสระ  เราส่งผู้ลงสมัครทั้งทีมกรรมการบริหารและสมาชิกสภานักศึกษาชั้นปีต่างๆ [2]              
ฉันและเพื่อนๆทั้งกลุ่มผู้หญิง  กลุ่มอิสระอื่นๆ   พากันลงสมัครกันอย่างคึกคัก   เราทำโปสเตอร์เล็กๆติดรูปถ่ายและประวัติย่อไปติดตามคณะต่างๆ  ปรากฎว่าพรรคพลังธรรมชนะแบบขาดลอยทั้งส.ส. และกรรมการบริหาร   มีสัดส่วนหญิงชายอย่างน่าพอใจด้วย  โดยที่ในส่วนสมาชิกสภานักศึกษาปีละ 15 คน  มีสัดส่วนหญิงชายครึ่งต่อครึ่ง  ส่วนองค์การบริหารมีผู้หญิง 1 ใน 3    ซึ่งมีสมาชิกกลุ่มผู้หญิงในสภาฯทุกชั้นปี     รวมทั้งฝ่ายบริหาร
ฉันย้อนอดีตถึงบรรยากาศการหาเสียงช่วงนั้นกับนงลักษณ์  เทวะศิลชัยกุล และปฏินันท์  สันติเมทนีดล   ซึ่งเป็นสมาชิกสภานักศึกษาปี  4  พร้อมกัน   โดยปฏินันท์เป็นรองประธานสภาฯ   ทั้งสองคนจำได้ว่าพวกเราไม่มีการปราศรัยใดๆ  นอกจากโปสเตอร์ง่ายๆเล็กๆติดตามคณะต่างๆ    ฉันถามทบทวนว่า    ทำไมพวกเราจึงได้รับการเลือกตั้งอย่างง่ายดายเช่นนั้น ?"  ทั้งสองคนคิดว่า   น่าจะเป็นเพราะพวกเราทำกิจกรรมมายาวนานตั้งแต่ปี  1     เป็นที่คุ้นหน้าคุ้นตาของเพื่อนนักศึกษานั่นเอง

การต่อสู้เคียงบ่าเคียงไหล่กับชายตั้งแต่เริ่มต้น    เพื่อกำหนดโครงสร้างการมีส่วนร่วมในการบริหารมหาวิทยาลัย       และการปกครองตนเองขององค์การนักศึกษา    จนถึงการได้มีตัวแทนหญิงชายในสัดส่วนที่ดีนี้   เป็นบทเรียนที่ทำให้ฉันและขบวนผู้หญิงต่อมาเห็นความสำคัญของการที่ผู้หญิงต้องมีส่วนร่วมในการตัดสินใจทุกระดับ    และต่อมาเป็นประเด็นสำคัญเรื่องหนึ่งในการรณรงค์ของขบวนผู้หญิง    ที่ต้องมีการเตรียมพื้นฐาน ความรับรู้    และที่สำคัญคือจิตสำนึกแห่งการช่วยเหลือซึ่งกันและกัน   การทำงานเป็นทีม  เพื่อให้ผู้หญิงตัดสินใจลงสมัครตำแหน่งทางการเมืองและการตัดสินใจทุกระดับทุกวงการเพิ่มมากขึ้น     ควบคู่กับการรณรงค์ต่อสังคมให้ยอมรับบทบาทของผู้หญิง   และเลือกผู้หญิงเป็นตัวแทนเพิ่มขึ้นในทุกระดับ


                  [1] ในการร่างข้อบังคับอ.ม.ธ.นี้มีข้อคิดเห็นต่างกันบ้าง โดยมีการรับฟังความคิดเห็นจากนักศึกษา   ส.ม.ธ.   ชุมนุมต่างๆ   เช่น ส.ม.ธ.เสนอไม่ให้จำกัดสิทธินักศึกษาที่เรียนเกิน 4 ปี  แต่ที่สุดก็ยืนตามร่างเดิม และที่ประชุมคณบดีเมื่อ 10 มกราคม 2516  ก็ได้แก้ไขร่างให้นักศึกษาสามารถใช้สิทธิปกครองตนเองดีขึ้น  อาทิ   ไม่มีคณะกรรมการตุลาการ  ให้เป็นอำนาจหน้าที่ของสภานักศึกษาที่จะพิจารณาข้อขัดแย้งระหว่างนักศึกษา และการกระทำผิดใดๆที่ไม่ถึงขั้นที่บัญญัติไว้ในข้อบังคับว่าด้วยวินัยนักศึกษา   สภานักศึกษาลงมติไม่ไว้วางใจคณะกรรมการบริหารได้     แต่ไม่มีบทกำหนดให้คณะกรรมการบริหารยุบสภานักศึกษา     และให้สภานักศึกษามีอำนาจออกระเบียบได้ 
      หลัง6  ตุลา 19   บรรยากาศประชาธิปไตยที่มีการปกครองตนเองของนักศึกษา    การมี
ส่วนร่วมกับการบริหารงานของมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์รวมถึงในทุกสถาบัน   ก็ยุติลงโดยสิ้นเชิง    กว่าจะค่อยๆเริ่มต้นขอขยับนับก้าวที่หนึ่งใหม่   ขอให้มีตัวแทนนักศึกษาก็จนถึงปี  2522   แต่ก็ไม่สมบูรณ์แบบเหมือนช่วงปี  2516-19
    [2] ในจุลสารได้นำเสนอนโยบายของพรรคพลังธรรมคือ   1)เรียกร้องและร่วมมือกับมหาวิทยาลัยในการพัฒนาสังคม    2)เสริมสร้างบรรยากาศทางวิชาการในมหาวิทยาลัย    3) เรียกร้องและส่งเสริมให้มีสวัสดิการนักศึกษามากขึ้น   4) ค้ำประกัน  ต่อสู้  และรักษาไว้ซึ่งสิทธิและเสรีภาพของนักศึกษา    5) กระทำการที่เป็นไปเพื่อความเสมอภาคและความเป็นธรรมในสังคม   6)จะดำเนินกิจกรรมที่เป็นประโยชน์ต่อสังคม
      ฉบับแรก   ลงบทกวีชื่อ  พลังธรรม  ของ  รวี  โดมพระจันทร์   :  
            ...จงมุ่งผดุงสร้าง                                   กำหนดทางด้วยสองมือ
            สมภาพควรยึดถือ                       ค้ำประกันสิทธิ์เสรี
            ชูเชิดพลังธรรม                         อย่ายอคำคนกาลี
            ต่อสู้อย่ารู้หนี                            ย่อมพ้นภัยที่กรายมา
            พลังธรรมอันจำรัส                     จะชี้ชัดชัยประชา 
เคียงคู่อยู่คู่ฟ้า                           และเรืองโรจน์นิรันดร  , 24 ก.พ.16
                 รวี  โดมพระจันทร์  หรือยุทธพงศ์  ภูริสัมบรรณ  เป็นรุ่นพี่คณะเศรษฐศาสตร์ที่มีผลงานบทกวีแห่งการต่อสู้ที่โดดเด่นแห่งยุคสมัยคนหนึ่ง   โดยเฉพาะบทที่เขียนว่า       
ตื่นเถิดเสรีชน                           อย่ายอมทนก้มหน้าฝืน 
                        หอกดาบกระบอกปืน                หรือทนคลื่นกระแสเรา...

                           โถมคลื่นของมวลชน                กระหน่ำจนศัตรูพ่าย
                           ยืนหยัดปานมัดหวาย                กระหน่ำให้มันได้คิด
   รวี  อยู่ในเขตป่าเขากับพี่สาวของฉัน    เมื่อฉันออกจากคุก   พี่สาวพาไปเยี่ยมรวี  กับครอบครัวที่ชลบุรี   เขากำลังป่วยและไม่นานหลังจากนั้น    ทุกคนต่างเศร้าสลดใจและอาลัยรักที่เขาต้องจากไปในวัยที่ยังเต็มเปี่ยมด้วยพลังและความใฝ่ฝัน
                รวี เป็นประธานนศ.เศรษฐ ฯปี 15     ไปวางพวงหรีดประท้วงตอนจอมพลถนอมปฏิวัติตนเองปี 14    อ่าน เพิ่มเติม ใน เกษียร   เตชะพีระ,รวี  โดมพระจันทร์     บันทึกปากคำประวัติศาสตร์ของเสรีชน  ชีวิต,งาน,  การปฏิวัติ  และความฝัน,   ในธรรมศาสตร์วิทยา : 61 ปี  มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์  (กรุงเทพฯ :  มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์,2538)

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น