เมื่อต่อสู้ ย่อมมีการเสียสละ ..ขอคารวะวีรชนปฏิวัติทุกท่าน
โดยสุนี ไชยรสเมื่อ 6 สิงหาคม 2011 เวลา 20:19 น.
ในโอกาสรำลึกวันเสียงปืนแตก ๗ สิงหา ๒๕๐๘.. สังคมไทยควรได้รับบทเรียนจากอดีต ตั้งคำถามว่าทำไมต้องใช้ความรุนแรง ใช้อาวุธ แล้วทำไมนักเรียนนักศึกษา กรรมกร ชาวนา ต้องเข้าป่า แล้วอยู่ได้นานพอสมควร มันต้องมีเหตุผล ที่สำคัญมันเป็นบทเรียนแก่สังคมไทยว่า ต้องยอมรับความแตกต่างทางความคิด ต้องเปิดโอกาสให้คนหลากหลายได้พูด การใช้ข้อหาคอมมิวนิสต์นี่ง่ายไป
.
เรื่องราวของสหายที่เสียสละประทับอยู่ในความทรงจำของสหาย นักต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยและความเป็นธรรม และมวลชนปฏิวัติทุกคน
การเสียสละที่ใหญ่หลวงที่สุดคือการเสียสละชีวิต...แม้เราแต่ละคนจะผ่านเรื่องร้ายแรงมากมาย แต่เรายัง
มีชีวิตอยู่... ขณะที่เส้นทางประชาธิปไตยที่คลี่คลายในสังคม เป็นผลจากการเสียสละของวีรชนจำนวน
มหาศาลทั่วประเทศ รวมทั้งสหายของเรา
ความรักความอาลัย ความมุ่งมั่นที่จะสืบทอดเจตนารมณ์แห่งการต่อสู้ของสหาย แสดงถึงอารมณ์รักทางชนชั้นต่อสหายและอุดมการณ์เพื่อคนจนตลอดไป...
ตัวอย่างเช่น ใน’ตำนานนักปฏิวัติภูซาง’ มีการเขียนรำลึกการเสียสละของสหายหลายคน อาทิ:
พริ้มเพรา...เธอยังไม่ตายจากเรา
เช้าวันหนึ่งหลังจากฉลองวันสตรีสากล 8 มีนาคม 2522 ทุกคนภายในทับหมอได้มายืนตั้งแถวเพื่อส่งสหายแยกย้ายกันไปปฏิบัติหน้าที่ พริ้มเพราหรือส.งานได้ลงหน่วยงานเข ต 99 ...ไม่กี่วันต่อมา เราก็ได้ข่าวว่าขบวนของสหายที่จะกลับไปเขตงาน 99 ที่อยู่เกือบติดริมโขงถูกซุ่มตี ระหว่างเดินทางจากหุบห้วยขึ้นเนินไปยังสันภู... ผู้อยู่ในเหตุการณ์เล่าว่า พริ้มเพราถูกกระสุนบาดเจ็บที่ท้อง สหายที่เหลือพยายามช่วยเธอ แต่เธอก็ได้ผลักดันให้รีบถอยออกไปเสียก่อน เพื่อจะได้ไม่ต้องสูญเสียมากกว่านี้... จากการตรวจสนามรบก็พบแต่ร่างไร้วิญญาณของเธอซ่อนตัวอยู่แต่ในพุ่มไม้ มีร่องรอยของการปฐมพยาบาลตัวเองอย่างสุดความสามารถ และพยายามหักกิ่งไม้มาพรางตัวจากฝ่ายตรงกันข้าม ศัตรูไม่ได้ศพเธอไป แต่เราก็ได้เพียงเถ้ากระดูกของเธอกลับมา ท่ามกลางความเศร้าอาลัยอย่างสุดซึ้งของเพื่อนๆและสหาย. จากเพื่อนพยาบาลรามาฯ( กลุ่มภูซาง:80-81)
แด่..สหายแก้ว ผู้เสียสละ
“แหม่ม” (ส.แก้ว) นักเรียนร.ร.เตรียมอุดม ก้าวเข้าสู่มหาวิทยาลัยมหิดลในสถานะ นศ. แพทย์รามาธิบดี แหม่มสมัครเข้าทำกิจกรรมในชมรมพุทธ... หลัง 6 ตุลา แหม่มบอก “เราจะเข้าป่าด้วย” และเล่าให้ฟังถึงความพร้อมของตนเองเพื่อรับกับสภาพความยากลำบากในป่า ตั้งแต่นอนบนพื้นกระดานแข็ง กินแต่น้ำเปล่า (ตอนนั้น แหม่มอยู่ในคฤหาสน์หลังใหญ่) แหม่มยอมสละจุดยืนทางชนชั้นนายทุนชาติ และสถานะทางสังคมของนักศึกษาแพทย์ ทราบข่าวในภายหลังว่า แก้วเป็นตับอักเสบจากเชื้อไวรัส(เอ) ซึ่งโดยทั่วไปถือว่ารุนแรงน้อยกว่าไวรัสบี โรคนี้รุนแรงถึงขั้นตายได้ แต่ก็สามารถหายได้ หากมีการพักผ่อนเพียงพอและควบคุมอาหารที่ดี อย่างไรก็ตาม ได้รับรู้ในเวลาต่อมาว่าแก้วไม่ยอมพักผ่อนเลย แถมยังใช้แรงงานอย่างหนักด้วย ร่างกายที่บอบบางอยู่แล้ว กลับอ่อนแอหนักไปอีก...โดย ‘ สหายอาทิตย์ ‘(กลุ่มภูซาง: 77-78 )
การยืนหยัดต่อสู้ และดัดแปลงตนเอง
ในสถานการณ์ที่ยากลำบาก สหายหญิงชายทุกคนทั้งในเมืองและชนบท ต่างอดทนและพยายามฟันฝ่า ฉันยอมรับว่า สหายทั้งหญิงชายมีความรักทางชนชั้นต่อสหายในเมืองอย่างมาก พวกเขาพยายามเข้าใจ ให้เวลาปรับตัว และไม่เรียกร้องให้ทำงานหนักเท่ากันแบบเฉลี่ยสัมบูรณ์
สหายหญิงในเมืองจะมีการบันทึกอารมณ์ความรู้สึกช่วงอยู่ป่าไว้มากเช่น บันทึกของ ส.เข็ม ผู้นำนักศึกษาครู :
“เราไปงานติดฝนหนักกลับทับไม่ทันก่อนเช้า....พ่อสมหมายหันมากระซิบ ส.เข็ม ระวังเสียงและร่องรอยนะ
เราต้องคลานแล้ว ข้าวโพดไร่ข้างหน้าสูงแค่เข่า มีมวลชนมา
หยอดข้าวโพดอยู่ใกล้ๆนี้ ถ้าเสียลับจะอันตรายมาก เราอยู่ห่างจากชายป่าไกลเกินไป...
ฉันยังจำความรู้สึกในวันนั้นได้ดี คิดถึงบ้าน คิดถึงคนที่ฉันรักและรักฉันขึ้นมาอย่างจับใจ
พวกเขาจะห่วงหาอาทรสักเพียงใด ถ้ารู้ว่าฉันต้องมาตกอยู่ในสภาพเช่นนี้... เนื้อตัวถูกใบข้าวโพดบาดจนแสบไปหมด แถมยังถูกตอไม้ขนาดเท่าตะเกียบตำเข้าที่กลางเท้าขวา ปวดขัดเสียจนตัวสั่น
ฉันกัดฟันคลานตามพ่อสมหมายข้ามเนินไร่ข้าวโพดอยู่ราวสองชั่วโมง พยายามคิดถึงสิ่งที่ช่วยเพิ่มกำลังใจได้ และปลอบตัวเองว่า เดี๋ยวก็ได้นอนเปลอุ่นสบาย แล้วคืนนี้ ... ถึงอย่างไรก็ยังดีกว่าวันที่ถูกเขาเอาปืนจี้ จิกหัวให้คลานลงมาจากโบสถ์วัดมหาธาตุ ผ่านถนนที่กำลังซ่อมซึ่งเกลื่อนไปด้วยทรายร้อนๆ และก้อนกรวดคมๆเมื่อวันที่ 6 ตุลา. 2519..(กลุ่มภูซาง ,:152-153)
สหายนักเรียนนักศึกษาที่ต้องใส่แว่นตาหนาๆ เป็นคนที่น่าเห็นใจที่สุด เช่น ส.ประดิษฐ์(เหน่ง) ส.กุหลาบ (วิมล หวังกิตติพร) ส.ป้อม ต่อมาเธอและสหายหลายคนพยายามฝึกถอดแว่นเมื่อขึ้นมาอยู่บนภู และมองต้นไม้เขียวๆสดชื่นแทน ว่ากันว่าจะช่วยให้สายตาดีขึ้น เยาวชนเหล่านี้ตั้งแต่อยู่ในเมืองก็มีความเร่าร้อนที่จะดัดแปลงตนเอง ในการใช้แรงงาน เรียกร้องตนเองในการรับใช้ประชาชน และเรียนรู้ มีความรู้สึกประทับใจในอุดมการณ์ และความใฝ่ฝันที่ได้เรียนรู้
อาจมีบ้างที่ยามกระแสตกต่ำโดยเฉพาะตอนขบวนเคลื่อนกลับจากป่า หลายคนอาจซึมเศร้า หรือกระทั่งอยากลืมเลือนเรื่องราวเหล่านี้ แต่ฉันคิดว่าเป็นเรื่องธรรมดาไม่ว่าใครก็ตาม เมื่อต้องเผชิญสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงชีวิตของเราราวขาวกับดำ กลับไปกลับมาอย่างโหดร้าย จากฮึกห้าวหลัง 14 ตุลา มาถึงความเคียดแค้นเจ็บปวด และเด็ดเดี่ยวที่จะเปลี่ยนแปลงสร้างสังคมใหม่ แล้วต้องกลับมาสู่ความรู้สึกเจ็บปวดร้าวรานเหมือนผู้แพ้ในสงครามอีกครั้ง เมื่อการปฏิวัติสับสน พรรคคอมมิวนิสต์ประสบปัญหาวิกฤติศรัทธาอย่างหนัก ในขณะที่ยังไม่สามารถก่อเกิดสังคมใหม่ที่ทุกคนวาดหวังได้เลย ... มันยากเหลือเกินที่จะฝ่าฟันความรู้สึกและความเศร้าสลดในใจได้
พ่อใหญ่แม่ใหญ่หลายคนเข้ามาในฐานะครอบครัวปฏิวัติ สละทรัพย์สินทั้งหมด หอบลูกหอบหลานเข้าป่า หลายคนเสียสละลูกสาวลูกชายในการปฏิวัติ ในวันที่เราทะยอยส่งพวกเขากลับบ้านแต่ละคนด้วยความเจ็บปวดร่วมกัน เป็นการจากกันด้วยความเศร้าสลด ผู้เฒ่าหลายคนร้องไห้ เพราะไม่เคยคิดว่า การทุ่มเทเข้าป่าไปทั้งครอบครัว ด้วยความเต็มใจและอดทนมายาวนาน จะจบลงที่วันนี้ต้องเดินกลับบ้านไปรายงานตัวและไม่รู้ว่าชีวิตจะเผชิญกับอะไรอีกบ้าง หลายคนไม่มีที่นาไม่มีบ้านแล้ว เพราะก่อนเข้ามาขายราคาถูกๆให้ญาติพี่น้อง ตัดสินใจเด็ดเดี่ยวที่จะปฏิวัติ
ฉันได้ไปส่งพ่อใหญ่แสงทองออกจากป่ากลับบ้านเป็นคนแรก ขณะนั้นสถานการณ์สับสนมาก ฉันต้องเข้ากรุงเทพฯเป็นครั้งแรกเพื่อประสานกับฝ่ายนำบางคน ฉันถือโอกาสนี้ไปส่งพ่อใหญ่แสงทองที่เข้าป่าทั้งครอบครัวและลูกชายคนหนึ่งเสียสละ พ่อใหญ่รักฉันเหมือนลูกสาว ตอนนี้พ่อไม่ค่อยสบาย อายุก็มากแล้ว พ่อใหญ่มีลูกสาวคนหนึ่งที่กรุงเทพฯ จึงควรเดินทางไปพร้อมฉันในครั้งนี้ สหายมาส่งเราที่ตีนภู ให้นอนอยู่บ้านอ.ส.คนหนึ่ง ตื่นเช้ามีรถพาเรามาส่งขึ้นรถทัวร์ที่อุดรเข้ากรุงเทพฯ ฉันก็ตื่นเต้นเหมือนกัน เพราะอยู่ป่ามานานหลายปีแล้ว พ่อใหญ่ร้องไห้ตลอดทาง ไม่อยากจากไป... เมื่อสหายในเมืองจัดผ้าป่าจากกรุงเทพฯมาทอดร่วมกับสหายชนบทครั้งแรกที่รร.บ้านโนนทัน และปีต่อมาที่รร.บ้านต่างแคน อ.สุวรรณคูหา เชิงภูซาง ที่พ่อใหญ่พาลูกสาวที่กรุงเทพฯกลับมาทำไร่อยู่ที่นี่อีก พ่อใหญ่ไม่ค่อยสบายเช่นเคย แต่เขียนจดหมายถึงฉันด้วยความดีใจที่สหายยังกลับมารวมกันและผูกพันต่อกัน ฉันยังคงเก็บจดหมายพ่อไว้จนทุกวันนี้ เพื่อรำลึกถึงจิตใจปฏิวัติของพ่อใหญ่คนหนึ่ง ที่วันนี้เสียสละไปแล้ว และเราเก็บอัฐิของพ่อไว้ที่สถูปภูซางด้วย
ความผูกพันระหว่างกรรมกรชาวนา นักเรียนนักศึกษาปัญญาชน ยังคงสืบสานต่อเนื่องในขอบเขตทั่วประเทศ ในบรรยากาศแห่งการทำบุญทุกปีตามเขตงานต่างๆและการร่วมมือกัน จิตสำนึกที่ตระหนักถึงปัญหาการกดขี่ขูดรีดทางชนชั้นต่อคนจน และการใช้อำนาจเผด็จการอย่างโหดร้าย ยังเตือนย้ำให้มีจิตสำนึกที่จะต้องต่อสู้เพื่อพิทักษ์ระบอบประชาธิปไตยมั่นคงยิ่งขึ้น
จิตใจ ๗ สิงหา จงเจริญ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น