การปฏิรูประบบประกันสังคม…เส้นทางที่คดเคี้ยวและสะดุดลง
สุนี ไชยรส(ไทยโพสต์
สังคมไทยมีความพยายามพัฒนาแนวคิดและนโยบายในการจัดสวัสดิการสังคมมายาวนาน โดยมีกฎหมาย เกี่ยวข้องหลายสิบฉบับ รวมทั้งกฎหมายประกันสังคม ที่เริ่มขึ้นปี ๒๕๓๓ เพื่อหวังจะดูแลคุณภาพชีวิตพื้นฐาน ของคนในสังคมตั้งแต่เกิดจนตาย แต่แนวคิดพื้นฐานและการดำเนินการของรัฐยังค่อนข้างกระจัดกระจายหลาย
หน่วยงานและไม่ทั่วถึงครบถ้วนกลุ่มเป้าหมาย
แนวโน้มส่วนใหญ่เป็นการสงเคราะห์ต่อผู้ยากลำบาก ซึ่งยังจำกัด เฉพาะบางกลุ่ม
และมักถูกวิพากษ์วิจารณ์ว่าเป็นภาระมหาศาลของรัฐแต่ฝ่ายเดียว โดยไม่มีทางที่จะทำได้ กว้างขวาง
ทั่วถึงและเป็นธรรม
เนื่องจากข้อจำกัดของระบบภาษี เงินงบประมาณ บวกกับปัญหาการทุจริต คอรัปชั่น ที่ฝังรากลึกทุกระดับในสังคมไทย
อย่างไรก็ตาม ระบบประกันสังคมของไทยที่ริเริ่มจากการผลักดันของแรงงาน
นักวิชาการ ร่วมกับนายจ้าง และข้าราชการที่ก้าวหน้า จนมี พ.ร.บ.ประกันสังคม พ.ศ.๒๕๓๓ นับเป็นความก้าวหน้าครั้งสำคัญของการสร้าง พื้นฐานระบบสวัสดิการสังคม โดยมีเจตนารมณ์เฉลี่ยทุกข์เฉลี่ยสุข และการร่วมมือจาก ๓ ฝ่าย คือนายจ้าง ลูกจ้าง
และฝ่ายรัฐ
ทำให้มีระบบจ่ายเงินสมทบร่วมสามฝ่ายมาตั้งกองทุนประกันสังคม มาดูแลสิทธิประโยชน์ที่พัฒนา ต่อมาถึงปัจจุบันใน
๗ กรณี จนมีเงินทุนถึงกว่า ๑.๓ ล้านล้านบาท
และครอบคลุมผู้ประกันตนถึง ๑๓ ล้านคน
ต่อมา มีการเคลื่อนไหวรณรงค์ให้แก้ไขปรับปรุง
พ.ร.บ.ประกันสังคม พ.ศ. ๒๕๓๓
มาอย่างต่อเนื่อง และเส้นทางคดเคี้ยวยาวนาน โดยเฉพาะการเสนอร่างกฎหมายเข้าชื่อตามรัฐธรรมนูญ
๒๕๕๐ จำนวน ๑๔,๒๖๔ รายชื่อของขบวนแรงงานในปี ๒๕๕๓ และต่อมามีการพัฒนาร่วมกับหลายองค์กร ข้อเสนอแนะที่สำคัญคือ (๑)หลักความเป็นอิสระ สถานะและโครงสร้างการบริหารด้านประกันสังคมจะต้องมีความเป็นอิสระ เป็นนิติบุคคลภายใต้การกำกับของรัฐ
ที่ไม่ใช่ส่วนราชการและรัฐวิสาหกิจ
ผู้บริหารกองทุนควรมาจากการสรรหา (๒)หลักความครอบคลุม โดยขยายความครอบคลุมแรงงานผู้ทำงานทุกคนทั้งภาครัฐและเอกชน ที่ผ่านมาเน้นแต่แรงงานในระบบ ยังไม่ครอบคลุมแรงงานนอกระบบ ผู้รับงานไปทำที่บ้าน และการจ้างงานที่มี หลากหลายรูปแบบในสถานการณ์
ปัจจุบัน หรือมีการคุ้มครอง แต่ไม่ได้รับสิทธิประโยชน์เท่าเทียมกัน (๓)หลักความโปร่งใสและมีส่วนร่วมของผู้ประกันตน
โดยให้ผู้ประกันตนทุกประเภท และนายจ้าง
มีสิทธิสมัครรับเลือกตั้งและใช้สิทธิเลือกตั้งกรรมการประกันสังคมฝ่ายตนได้โดยตรง มีกรรมการบริหารการลงทุน และคณะกรรมการตรวจสอบที่มีประสิทธิภาพ
(๔)หลักยืดหยุ่น เป็นธรรม
สอดคล้องกับภาวะเศรษฐกิจและสังคม
ในการออกระเบียบต่างๆและเกณฑ์การ จ่ายเงินสมทบ
และสิทธิประโยชน์ของผู้ประกันตน เส้นทางคดเคี้ยวยาวนาน และสะดุดลงหลายละลอกของการปฏิรูประบบประกันสังคม
เริ่มจากร่าง กฎหมายเข้าชื่อตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย
พุทธศักราช ๒๕๕๐ ของขบวนแรงงานเมื่อปี ๒๕๕๓
และตกไปเมื่อมีการยุบสภาฯปี ๒๕๕๔ แต่ก็ยังได้รับการรับรองจากรัฐสภาให้นำมาพิจารณาต่อในปลายปีนั้น อย่างไรก็ตาม
กว่าที่รัฐบาล(สมัยคุณยิ่งลักษณ์ฯ) จะเสนอร่างกฎหมายประกันสังคมของรัฐบาล
และนำเข้าสู่วาระ การพิจารณาของสภาผู้แทนราษฎรก็ผ่านไปจนถึง ๒๐ มีนาคม ๒๕๕๖ โดยมีร่างกฎหมายของพรรคการเมืองอีก สองฉบับประกบเข้าไปด้วย
รวมฉบับของประชาชน เป็น ๔ ฉบับ นั่นคือการสะดุดครั้งสำคัญในประวัติศาสตร์การพิจารณาร่างกฎหมายเข้าชื่อของประชาชนตามรัฐธรรมนูญ
เมื่อสภาผู้แทนราษฎรมีมติไม่รับหลักการร่าง พ.ร.บ.ประกันสังคม
ฉบับเข้าชื่อของขบวนแรงงาน ทำให้ไม่สามารถ
ได้รับสิทธิตามรัฐธรรมนูญและกฎหมายรับรอง
ในการมีผู้แทนเป็นกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างกฎหมาย ประกันสังคม จำนวน ๑
ใน ๓ ซึ่งสังคม สื่อ
และหลายองค์กรมีการวิพากษ์วิจารณ์เรื่องนี้อย่างมาก แต่การพิจารณาร่างกฎหมายประกันสังคมของรัฐบาลนั้นก็ยุติลงปลายปี
๒๕๕๖ เมื่อมีการยุบสภาฯอีก ขบวนแรงงานยื่นร่างกฎหมายฉบับเข้าชื่อนี้ฯให้รัฐบาลพลเอกประยุทธ์
จันทร์โอชา อีกครั้งหนึ่งในวันที่ ๑๗
มิถุนายน ๒๕๕๗ แต่ในที่สุดรัฐบาลได้เสนอร่างกฎหมายประกันสังคมเข้าสู่สภานิติบัญญัติแห่งชาติเมื่อ
๓๑ ตุลาคม ๒๕๕๗
และผ่านสภานิติบัญญัติแห่งชาติวาระ ๓ เมื่อ ๕ มีนาคม ๒๕๕๘
มีข้อเสนอจากขบวนผู้ประกันตนให้นำร่างกม.เข้าชื่อของประชาชนมาพิจารณาประกอบด้วย
แต่ไม่ได้ รับความสนใจ ...เท่ากับเป็นการสะดุดลงครั้งที่
๒… รัฐบาลพลาดโอกาสในการรับฟังความเห็นของผู้มีส่วนได้เสีย
โดยตรงและโอกาสที่ดีในการร่วมมือกันปฏิรูประบบประกันสังคมอย่างจริงจัง... แม้ว่าพ.ร.บ.ประกันสังคม
พ.ศ.๒๕๕๘ ฉบับใหม่ที่ผ่านสภาจะยังไม่มีการปฏิรูปในประเด็นสำคัญคือ
สถานะและโครงสร้างของการบริหารสำนักงานประกันสังคมที่เป็นอิสระ แต่ก็ยังถือเป็นความหวังเบื้องต้น ของผู้ประกันตน
ที่บทบัญญัติในมาตรา ๘กำหนดไว้ในวรรค ๓ ว่า
“ให้ผู้แทนฝ่ายนายจ้างและผู้แทนฝ่าย ผู้ประกันตนตามวรรคหนึ่งมาจากการเลือกตั้ง
โดยคำนึงถึงการมีส่วนร่วมอย่างแท้จริงของฝ่ายนายจ้าง และฝ่ายผู้ประกันตน สัดส่วนระหว่างหญิงและชาย
รวมทั้งการมีส่วนร่วมอย่างมีประสิทธิผลของคนพิการ และผู้ด้อยโอกาส
ทั้งนี้หลักเกณฑ์และวิธีการเลือกตั้ง เป็นไปตามระเบียบที่รัฐมนตรีกำหนด”
ซึ่งกระทรวงแรงงาน ได้แต่งตั้งคณะกรรมการร่างระเบียบต่างๆ
และเตรียมจัดการเลือกตั้งตามกฎหมายกำหนดในเดือนเมษายน ๒๕๕๙ นี้ใกล้จะเสร็จแล้ว
ผู้ประกันตน ๑๓
ล้านคน และกำลังมีทิศทางจะขยายครอบคลุมเพิ่มอีกตามกฎหมายใหม่ ควรอย่างยิ่งจะได้ ใช้สิทธิมีส่วนร่วมในการเลือกกรรมการกองทุน ซึ่งกองทุนประกันสังคมเป็นกองทุนใหญ่ที่สุด ในประเทศไทย
และมาจากการร่วมจ่ายทั้งของคนทำงาน
นายจ้าง และรัฐบาล กองทุนประกันสังคมไม่ใช่กองทุนของรัฐ
แต่ในที่สุดก็เกิดการสะดุดใหญ่ครั้งที่
๓ เมื่อคสช.มีคำสั่งที่ ๔๐ /๒๕๕๘ ใช้อำนาจ
ม.๔๔ เมื่อ ๕ พ.ย.๕๘ ยุบคณะกรรมการ ประกันสังคมที่รักษาการรอคณะกรรมการชุดใหม่ที่กำลังจะมีการเลือกตั้งจากผู้ประกันตน
นายจ้าง และจะมีการ สรรหากรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ ไปจนถึงการยุบที่ปรึกษา คณะกรรมการการแพทย์ และคณะกรรมการกองทุนเงินทดแทน ที่สำคัญคือสั่งยกเลิกการเลือกตั้ง และการสรรหาที่จะเกิดขึ้นเดือนเมษายนทั้งหมด
และตั้งคณะกรรมการ ประกันสังคมชุดใหม่
และคณะกรรมการ กองทุนเงินทดแทนทันที
ให้มีวาระไป ๒ ปี โดยอ้างว่าเพื่อปฏิรูปประกัน สังคมให้โปร่งใส
มีธรรมาภิบาล และเกิดประโยชน์สูงสุด และอ้างว่าเป็นการเรียกร้อง ของขบวนแรงงานด้วย มีการวิพากษ์วิจารณ์จากแรงงานทั้งในและนอกระบบอย่างมาก
ว่าไม่ใช่ทิศทางที่ควรจะเป็นของการปฏิรูป ระบบประกันสังคม คำสั่ง คสช.นี้ทำให้เกิดความสงสัยว่า คสช.เข้าใจปัญหาและทิศทางการปฏิรูประบบประกันสังคม
จริงหรือไม่ การใช้มาตรา๔๔
แม้อาจจะคิดว่าเป็นความหวังดี และได้แต่งตั้งผู้แทนลูกจ้างบางคนเข้าร่วมด้วย แต่ประเด็นสำคัญที่ขัดขวางการปฏิรูประบบประกันสังคม
คือการทำลายหลักการที่จะมีผู้แทนผู้ประกันตน อย่างโปร่งใส และเป็นที่ยอมรับ เชื่อมั่นของผู้ประกันตน เป็นการทำลายรากฐานการปฏิรูปอย่างมีส่วนร่วม
และไม่สามารถมีหลักประกันได้ว่า
การถอยหลังเข้าคลองไปอีกสองปีนี้จะมีหลักประกันอะไรของการปฏิรูป
กลุ่มเป้าหมายเชิงยุทธศาสตร์ของการปฏิรูประบบสวัสดิการสังคมเพื่อความมั่นคงและยั่งยืนนั้น ต้องเน้นที่
“คนทำงาน”ในทุกรูปแบบคือข้อต่อสำคัญ
นั่นคือการพัฒนาและปฏิรูประบบประกันสังคมให้ครอบคลุม
คนทำงานอย่างกว้างขวางที่สุด
มีสิทธิประโยชน์ได้มากที่สุด
และมีการบริหารที่เป็นประชาธิปไตยแบบมีส่วนร่วม มีความเป็นอิสระ โปร่งใส และตระหนักถึงความเป็นหุ้นส่วนทางสังคม เพราะจะทำให้คนทำงานสามารถ ดูแลตนเอง ครอบครัว
รวมถึงเด็กเล็ก ผู้สูงอายุ ผู้พิการ
ผู้ป่วยได้
ทางที่ดีที่สุดคือ
ต้องให้กฎหมายประกันสังคมฉบับใหม่เดินหน้าการเลือกตั้งและการสรรหาต่อไป และจะดียิ่งขึ้นเมื่อรัฐบาลดำเนินการแก้ไขกฎหมายประกันสังคมอีกครั้ง
โดยการปฏิรูปโครงสร้างสำนักงาน และกองทุนประกันสังคมไปสู่ความเป็นอิสระจากส่วนราชการ
และนักการเมือง โดยการมีส่วนร่วมคิดของ ทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น