โซ่ตรวนของผู้หญิง :ต้องฝ่าด่านตั้งแต่บ้าน(หอพัก) และ การแต่งกาย
ลูกๆของเรากำลังก้าวเดินไปบนเส้นทางแห่งสัจจธรรมและเหตุผล, นำความรักมาสู่จิตใจของมนุษย์เผยให้เห็นสวรรค์ใหม่ และจุดดวงไฟใหม่ขึ้นในโลก –ไฟอันไม่อาจดับมอดได้แห่งดวงวิญญาณ. จากเปลวปลาบของไฟนี้ ชีวิตกำลังงอกงามแตกหน่อขึ้น, มันเกิดจากความรักของลูกๆของเราที่มีต่อมวลมนุษยชาติ. ใครเล่าจะดับระงับความรักนี้ได้? ใครหน้าไหน? พลังอะไรเล่าจะสามารถทำลายมันได้? พลังอะไรหรือที่จะขัดขวางมันได้? โลกได้ให้กำเนิดมันแล้ว, และชีวิตเองทีเดียวที่พร่ำเพรียกปรารถนาชัยชนะของมัน, ชีวิตนั้นเอง
เปลาเกยา นินอฟนา
‘ แม่’ โดย แม็กซิม กอร์กี้ (จิตร ภูมิศักดิ์ แปล)
แต่ความรักมีความหมายมากกว่านั้น ความรักที่เป็นเพียงความสุข หรือไม่ก็ความใคร่ของคนคนหนึ่ง หรืออย่างมากที่สุดสองคนเท่านั้น เป็นความรักอย่างแคบ ความรักของคนเราควรจะขยายกว้างออกไปถึงชีวิตอื่น ถึงประชาชนทั้งหลายด้วย ชีวิตของคนเราจึงจะมีคุณค่าและมีความหมายไม่เสียทีที่เกิดมา ดิฉันจึงว่า หากชีวิตเรามีความรัก และความรักนั้นสามารถผลักดันชีวิตของคนเราให้สูงส่งยิ่งขึ้นกว่าชีวิตของสิ่งอื่น นกมันอาจจะร้องเพลงได้เมื่อมันนึกอยากจะร้อง โดยไม่คำนึงถึงความทุกข์ยากของชีวิตนกอื่น แต่คนเราไม่น่าจะเป็นเช่นนั้น วัลยา
ใน ความรักของวัลยา
ภาพนักเรียนนักศึกษาหญิงชุมนุมค้างวันค้างคืนในธรรมศาสตร์ หรือบนถนนราชดำเนิน ที่ดูจะเป็นเรื่องปกติธรรมดาในยุคนี้ แต่ฉันลองย้อนรำลึกก้าวเดินของผู้หญิงแต่ละคน รู้ดีว่ามีความยากลำบากอย่างมากในการทำความเข้าใจกับพ่อแม่ย่ายาย ที่ล้วนแต่ไม่เห็นด้วย ในการไปค้างบ้านเพื่อน ค้างในการชุมนุม กระทั่งการออกไปค่ายพัฒนาชนบท เป็นภาพสะท้อนความจริงของสังคม ที่ถ่วงรั้งผู้หญิงในการมีโอกาสที่เท่าเทียมกับชายในการศึกษาเรียนรู้ โอกาสทำงานเพื่อแสดงศักยภาพของตนเองและทำงานรับใช้สังคม
สุชีลา ตันชัยนันท์ ประธานกลุ่มผู้หญิงสิบสถาบัน และ นักโทษหญิงตอน ๖ ตุลา เล่าถึงความแตกต่างในการเลี้ยงลูกสาวกับลูกชายว่า เธอต้องเข้าครัวช่วยแม่ทำอาหารทุกวันหลังจากทำการบ้านเรียบร้อย ขณะที่เด็กผู้ชายอิสระจากงานในครัวเรือน พ่อก็เห็นดีเห็นงามให้ลูกสาวเป็นแม่ศรีเรือน ไม่ค่อยได้รับอนุญาตให้ไปเที่ยวนอกบ้านกับเพื่อนๆ ถ้าจะไปไหนพ่อจะไปรับไปส่ง และไม่ได้รับอนุญาตให้หัดขับรถด้วย เธอต้องแอบไปหัดขับกับพี่ชาย แอบไปเล่นลูกหิน ลูกข่าง หัดว่ายน้ำคลอง และช่วยพี่ชายทำงานฝีมือของโรงเรียนแบบผู้ชาย เช่น แกะสลักไม้ (สุชีลา,2546 : 35-46)
เมื่อจะออกค่ายอาสาพัฒนาครั้งแรกที่โคราช เธอเกือบต้องดับเครื่องชน เมื่อพ่อไม่อนุญาต แต่พี่ชายอาสาเข้ามารับผิดชอบเต็มที่ พ่อจึงมีท่าทีอ่อนลง ซึ่งการออกค่ายครั้งนี้ทำให้สุชีลาได้เปลี่ยนแปลงทางความคิดครั้งใหญ่ โดยมีนักศึกษาหญิงเพียงห้าคนเท่านั้นที่ฝ่าด่านของครอบครัวไปค่ายได้... เมื่อจะต้องไปค้างบ้านเพื่อนเนื่องจากกิจกรรมเข้มข้นขึ้น แม้พ่อจะไม่ห้ามแล้ว แต่ย่ายังบ่นว่า
“การที่ผู้หญิงไปนอนค้างที่อื่นแม้เพียงคืนเดียว ถ้าผู้ชายรู้เข้าเขาจะยกขบวน ขันหมากกลับบ้านเลย เพราะถือว่าผู้หญิงเสื่อมเสียชื่อเสียงไปแล้ว.’..(สุชีลา :.84)
กัญญา ลีลาลัย (ฤดี เริงชัย) เล่าไว้ใน‘หยดหนึ่งแห่งกระแสธาร’ว่า ...ที่บ้านไม่เคยอนุญาตให้ลูกสาวไปค้างคืนที่อื่น ทำให้ในการประท้วงประกาศคณะปฏิวัติฉบับที่ 299 เมื่อปลายปี 2515 เธอไปชุมนุมได้เฉพาะกลางวัน แต่ตอนปิดเทอมจะมีค่ายของกลุ่มยุวชนสยามที่เธอเป็นหัวเรี่ยวหัวแรงคนหนึ่ง จะจัดค่ายอาสาพัฒนาฝึกกำลังคน ซึ่งเป็นค่ายผสมผสานระหว่างค่ายอาสาพัฒนากับค่ายประชุมสัมมนา แม่ไม่อนุญาตทำให้เธอประท้วงต่างๆนานา พี่สาวต้องเข้าไปช่วยพูดกับแม่ให้เข้าใจจิตวิทยาของวัยรุ่น ที่ต้องการเป็นตัวของตัวเอง สุดท้ายแม่อนุญาตให้เข้าไปค่ายได้ บนเงื่อนไขที่ว่าจะต้องกลับบ้านก่อนที่พ่อจะกลับจากต่างจังหวัด เพราะแม่ไม่กล้าบอกให้พ่อรู้แต่เธอกลับไม่ทัน ...(ฤดี ,2538 : 117-8)
“เมื่อกลับบ้าน คิดว่าต้องถูกพ่อทำโทษเป็นแน่ แต่พ่อวางเฉยเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ฉันอึดอัดมากในที่สุดฉันก็ทนไม่ได้ ต้องเปิดฉากพูดกับพ่อให้รู้เรื่องว่าพ่อคิดอย่างไรกันแน่ พ่อมองหน้าฉันเต็มตา พูดอย่างเต็มปากเต็มคำ ‘ทำไมป๋าต้องถามว่าหนูไปทำอะไรมานอกลู่นอกทางหรือเปล่า ในเมื่อป๋ารู้ว่าหนูเป็นคนมีเกียรติ’ ฉันรู้สึกตื้นขึ้นมาในลำคอ และตั้งใจในบัดดลว่า ชั่วชีวิตนี้ฉันจะไม่ทำให้พ่อแม่ผิดหวังเป็นอันขาด” (ฤดี : 119)
ในการจัดเสวนา ‘ 30 ปี 14ตุลา ย้อนรอยพลังหญิง’ โดย องค์กรผู้หญิง เมื่อ 24 สิงหาคม 2546 ที่สมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย ช่วยให้เห็นภาพการต่อสู้ในมิติของผู้หญิงที่ลึกลงไปจากภาพด้านหน้าของประวัติศาสตร์ มีเรื่องราวเล็กๆแต่น่าประทับใจไม่น้อย...
มาลีรัตน์ แก้วก่า อดีตประธานนักศึกษาหญิงมหาวิทยาลัยขอนแก่น เล่าถึงบรรยากาศของนักศึกษาหญิงในหอพักมหาวิทยาลัยขอนแก่นก่อน 14 ตุลาว่า :
“...มีนักศึกษาหญิงที่ตื่นตัวมาทำกิจกรรมร่วมกัน ทั้งที่ขอนแก่นและมาร่วมกับนักศึกษาที่กรุงเทพฯ ประมาณสี่สิบคน ที่ออกโรงด้านกว้างมีอย่างน้อยแปดคน และมีอีกประมาณสิบคนคอยคิดคอยเขียนคอยแนะนำอะไรๆให้อยู่เสมอ ไม่ใช่แต่เขียนให้ผู้หญิง เขียนให้ผู้ชายด้วย กลุ่มผู้หญิงขอนแก่นก่อรูปขึ้นตอนมีการชุมนุมประท้วง การปลดนักศึกษารามคำแหง 9 คนกรณีทุ่งใหญ่... เราเริ่มรณรงค์อย่างง่ายๆเรื่องให้ผู้หญิงนุ่งกางเกงเข้าตึกเรียนได้ เพราะสภาพการเรียนการทำกิจกรรมของผู้หญิงควรต้องคล่องตัวกว่านุ่งกระโปรงอย่างเดียวตามระเบียบ ก็ เริ่มจากตนเองนุ่งกางเกงตอนมีเรียนสองทุ่ม พอเริ่มหนึ่งคนมันก็ไปเรื่อยๆ หลังจากนั้นก็รณรงค์อย่างเปิดเผย ตอนลงสมัครประธานนักศึกษาหญิงที่ต้องเลือกตั้งทั้งมหาวิทยาลัยช่วงปลายปี2516 ผู้ชายก็มีสิทธิเลือกด้วย ก็ถือเรื่องนี้เป็นคำขวัญเรื่องหนึ่ง.. ...’ให้ผู้หญิงนุ่งกางเกงเข้าตึกเรียนได้!’ “
รัชฎาภรณ์ แก้วสนิท สมัยเรียนอยู่มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ซึ่งจบในปี 2516 ก่อน 14 ตุลา ก็เล่าถึงความยากลำบากในการที่นักศึกษาหญิงจะออกมาทำกิจกรรมว่า...
“ช่วงนั้นมีหนังสือวลัญชทัศน์ ฉบับภัยเขียว ของเชียงใหม่ วิจารณ์ระบอบเผด็จการทหารอย่างรุนแรง นักศึกษาถูกจับตามอง ต้องเคลื่อนไหวแบบลับๆ ดิฉันเป็นผู้หญิงคนหนึ่งที่ปีนหอหญิงได้ทุกหอ เวลาจะแจกใบปลิวมันเดินแจกไม่ได้ ต้องแจกตามหอ เวลาสามทุ่มหอปิดแล้วทุกคนก็เข้าห้อง เราก็เอาไปสอดไว้ใต้ประตู กว่าจะกลับถึงหอตัวเองสว่างพอดี...”
เรืองรวี พิชัยกุล เกตุผล นักเรียนม.ศ.5 ตอน 14 ตุลา เล่าถึงการไปชุมนุมว่า:
“หนีกันทั้งชั้น ปิดโรงเรียนเหมือนกัน สมัยนั้นยังอ่านหนังสือทมยันตีกันอยู่เลย ยังสายลมแสงแดดมากๆ แล้วก็มีคำถามตลอดเวลาแต่ไม่มีใครตอบให้เลยไปหาอ่านในหนังสือ หลังจากที่ได้ยินข่าวก็เข้ามาตรวจสอบเองว่าเกิดอะไรขึ้นที่ธรรมศาสตร์ การได้ฟังพี่ๆไฮด์ปาร์กไม่กี่ชั่วโมงไม่น่าเชื่อว่าลืมไปหมดเลยนิยายร้อยๆเล่มที่อ่าน มันไร้สาระไปโดยสิ้นเชิง นี่คือการจุดประกายว่าสาระสำคัญในการเกิดมามีชีวิตนี้คืออะไร หลังจากนั้นวันที่ 13 ก็มาอยู่กันทั้งวัน กลับบ้านวันที่ 14 เนื่องจากเสื้อผ้าสกปรกและเหนื่อยอ่อนมาก พยายามกลับบ้าน ความรู้สึกกลัวพ่อแม่อย่างสุดขีดเหมือนกัน วันนั้นพ่อถาม ‘ แกอยู่ที่ไหน 13-14 ตุลา ถ้าแกไม่อยู่ที่ธรรมศาสตร์ แกไม่ใช่ลูกของพ่อ’ ตั้งแต่นั้นมาสบายมาก กิจกรรมอย่างนี้พ่อเห็นด้วย พ่อเป็นนักศึกษาธรรมศาสตร์มาก่อน...
ฉันเองค่อนข้างมีอิสระกว่าหลายๆคน พี่สาวอยู่หอพักข้างนอกก็คล่องตัวเช่นกัน แม่ก็เชื่อมั่นในตัวเราว่าจะไม่ทำตัวเหลวไหล แม้จะไม่ค่อยเข้าห้องเรียน แต่วิชาที่เลือกเป็นวิชาที่สนใจ อาจารย์มักจะให้ตอบคำถามแบบวิเคราะห์ปัญหาและทางออก ประสบการณ์นอกห้องเรียนจึงเป็นประโยชน์ในการวิจารณ์โครงสร้างเศรษฐกิจสังคม การเมือง ปัญหาชนบท รวมทั้งนำเสนอทางออกต่างๆได้ชัดเจนขึ้น ถ้าฉันไม่ได้ เอฟ วิชาหนึ่งที่คณะรัฐศาสตร์ เพราะส่งรายงานไม่ทันตอนที่เข้าร่วมการชุมนุมประท้วง ฉันจะได้เกียรตินิยมด้วย ส่วนใหญ่นักกิจกรรมเดือนตุลาจะเรียนดีกันทั้งนั้น รวมถึงเยาวชนนักเรียนรุ่นต่อๆมาด้วย
ฉันยังจำวันที่ฉันกับเพื่อนๆนักศึกษาหญิงสองสามคน พากันไปที่บ้านของนักศึกษาหญิงรุ่นน้องคนหนึ่ง เพื่อช่วยกันขออนุญาตให้เธอได้ไปออกค่ายเยาวชนชนบทด้วยกัน เราพยายามอธิบายว่าเราไปด้วยกันเป็นกลุ่มใหญ่ จะคอยดูแลช่วยเหลือกัน แม่ของรุ่นน้องมองหน้าพวกเรา คำตอบของแม่ทำให้พวกเราขยาดเหมือนกัน แม่บอกว่า ‘ดูแลตัวเองกันให้ได้เสียก่อนเถอะ’ ฉันนึกภาพตัวเองและเพื่อนๆแล้วก็ยังนึกขำมาจนทุกวันนี้ ยุคนั้นพวกเราแต่งตัวกันตามสไตล์ ‘5 ย.’ ของนักกิจกรรมทั้งหลาย ผมยาว สะพายย่าม กางเกงยีน เสื้อยับ รองเท้ายาง... แม้ว่าจะไม่ครบสูตรทั้งหมดและคงสะอาดสะอ้านกว่าพวกผู้ชายอยู่มาก แต่ในสายตาของพ่อแม่ที่ห่วงใยลูกสาว มันคงไม่น่าเชื่อถือเสียเลย แต่ก็มีบางรายที่ประสบความสำเร็จอยู่บ้าง สลิลยา มีโภคี ขอแม่ไปค่ายที่ขอนแก่นกับฉันไม่ได้ ก็มาชวนฉันไปพบแม่ เธอย้อนรำลึกวันนั้นว่า ในที่สุดแม่ก็ยอมให้ไปค่ายได้ ...อาจจะเพราะพูดไม่ทันพวกเราก็ได้...
อีกวิธีหนึ่งที่ช่วยให้บรรยากาศการออกมาทำกิจกรรมในมหาวิทยาลัยที่ต้องมีการค้างคืน หรือไปค่ายชนบทราบรื่นขึ้น สำหรับนักเรียนนักศึกษาหญิงช่วงนั้นคือ ผลัดกันไปนอนตามบ้านเพื่อนหรือรุ่นพี่ เพื่อทำให้พ่อแม่สบายใจเมื่อเห็นหน้าซื่อๆใสๆของเพื่อนของลูก ที่ดูไม่มีพิษภัยอะไร ส่วนใหญ่จะเป็นเด็กเรียนเก่ง ไม่มีท่าทีเกเร บ้านวิมล หวังกิตติพร และไพรินทร์ พลายแก้ว ก็เป็นบ้านที่มีเพื่อนๆไปนอนกันบ่อย
ความอึดอัดของพวกเราผู้หญิงที่มีกิจกรรมมากมายต้องทำ ทั้งพยายามไปเรียนหรือเข้าห้องสมุดซึ่งต้องแต่งเครื่องแบบนักศึกษา ทำให้ไม่สะดวกอย่างมากต่างจากนักศึกษาชายที่แต่งกายได้ค่อนข้างสบาย เมื่อฉันเป็นสมาชิกสภานักศึกษา ปี 4 รุ่นแรก ปีการศึกษา 2516ในนามพรรคพลังธรรมซึ่งมีเสียงข้างมาก และสภานักศึกษาสามารถออกระเบียบได้เอง ฉันจึงเสนอให้สภาฯเปลี่ยนแปลงระเบียบการแต่งกายนักศึกษาหญิง ให้สามารถแต่งกายแบบสุภาพและนุ่งกางเกงได้ ไม่ต้องแต่งเครื่องแบบนักศึกษาหญิงเวลาเข้าเรียน ยกเว้นเฉพาะเวลาเข้าสอบ และงานพิธีต่างๆ
ข้อเสนอของฉันได้รับการสนับสนุนจากเพื่อนสมาชิกสภาฯทั้งชายหญิงอย่างเป็นเอกฉันท์ ทำให้นักศึกษาหญิงธรรมศาสตร์สามารถมีอิสระที่จะตัดสินใจด้วยตัวเอง ว่าเลือกที่จะแต่งเครื่องแบบนักศึกษาหรือแต่งกายแบบสุภาพ จนมาถึงปัจจุบัน ยกเว้นเวลาเข้าสอบและงานพิธีการ
ปฏินันท์ สันติเมทนีดล ซึ่งขณะนั้นเป็นรองประธานสภาฯเล่าความรู้สึกว่า ช่วงนั้นพวกเราส่วนใหญ่หัวก้าวหน้ากัน คิดว่าต้องดูคนที่ความคิด หัวสมอง มากกว่ามาติดใจเรื่องเครื่องแบบหรือการแต่งตัวต้องการให้นักศึกษาหญิงทำกิจกรรมได้สะดวกขึ้น โดยไม่ต้องทิ้งการเข้าเรียน จึงสนับสนุนกันเต็มที่
ฉันได้เรียนรู้ความหมายของคำว่า ‘การให้สิทธิผู้หญิงตัดสินใจเลือกด้วยตัวผู้หญิงเอง’ จากเรื่องนี้เองในเบื้องต้น แม้ระเบียบจะเปิดโอกาสให้มีสิทธิ ซึ่งฉันและเพื่อนๆน้องๆผู้หญิงจำนวนไม่น้อยเลือกการแต่งกายแบบตามสบายแต่สุภาพเป็นหลัก แต่นักศึกษาหญิงส่วนใหญ่ก็ยังเลือกจะแต่งเครื่องแบบนักศึกษาทุกวัน ซึ่งเป็นการเลือกของแต่ละคน ขอแต่เพียงให้สิทธิในการตัดสินใจที่จะเลือกด้วยตัวเอง มิใช่การบังคับอย่างตายตัวเพราะเป็นผู้หญิง ด้วยทัศนคติที่จำกัดและเป็นการเลือกปฏิบัติต่อผู้หญิง นี่แหละคือความเสมอภาคในโอกาส ที่เป็นความหมายสำคัญที่สุดสำหรับการเรียกร้องความเสมอภาคหญิงชายจนถึงยุคปัจจุบัน มิใช่ว่าผู้หญิงจะเรียกร้องความเท่าเทียมกันในทุกด้าน หรือต้องทำตัวเหมือนอย่างชายในทุกเรื่อง ดังที่คนมักจะสับสนกัน
เมื่อมาต่อสู้เรื่องสิทธิในการเลือกใช้นามสกุล ที่ผู้หญิงเมื่อจดทะเบียนสมรสควรมีสิทธิ
จะตัดสินใจเลือกเองว่า จะใช้นามสกุลพ่อแม่หรือนามสกุลสามีก็ได้ มิใช่บังคับตายตัวในกฎหมายว่าจะต้องใช้นามสกุลสามี ที่ขบวนผู้หญิงต่อสู้เรียกร้องมาช้านาน จนเพิ่งประสบความสำเร็จในปี 2546 จะเห็นได้ชัดเจนเช่นกันว่า มีการวิจารณ์อย่างรุนแรงจากบางกลุ่ม หาว่าขบวนผู้หญิงจะทำลายสถาบันครอบครัว ทำให้ครอบครัวแตกแยก แต่สิ่งที่ผู้หญิงเรียกร้องคือ ขอสิทธิความเสมอภาคในโอกาสที่จะเลือกด้วยตนเอง เพื่อความเหมาะสมที่สุดของตนและครอบครัว
ผลกระทบที่หยั่งรากลึกของการไม่มีสิทธิตัดสินใจที่จะเลือกของผู้หญิง ในเรื่องนามสกุลนี้เอง ส่งผลหนักหน่วงกว่าที่จะพูดแต่เพียงว่าเป็น ‘สิทธิ’ เพราะส่งผลต่อการเลี้ยงดูที่แตกต่างกันระหว่างลูกสาว-ลูกชาย เมื่อไม่สามารถสืบสกุลได้เช่นลูกชาย พ่อแม่จึงให้ความสำคัญในการเลี้ยงดู การส่งเข้าเรียน และการสนับสนุนการทำงาน ต่อลูกชายมากกว่าลูกสาว
แม้วันนี้กฎหมายอนุญาตให้เลือกเองได้ ก็มิได้หมายความว่า ผู้หญิงส่วนใหญ่จะหันเปลี่ยนกลับไปใช้นามสกุลพ่อแม่ แม้แต่ฉันหรือเพื่อนๆในขบวนผู้หญิงจำนวนมากก็มิได้เปลี่ยนนามสกุลจากสามีไปใช้นามสกุลเดิม เราต่อสู้เพื่อให้ผู้หญิงโดยรวมมีสิทธิที่จะเลือก ให้ผู้หญิงสามารถทำในสิ่งที่คิดว่าดีที่สุดของตน มิใช่เพื่อเราในฐานะผู้รณรงค์โดยเฉพาะ
ความไม่เสมอภาคในโอกาสสำหรับหญิงชาย จึงเป็นสิ่งที่ผู้หญิงถูกรัดรึงมายาวนานตั้งแต่ประเพณี ค่านิยม และทัศนคตินานัปการ จนถึงกฎหมาย การรวมกลุ่มผู้หญิงคือการเปิดโอกาสและทางเลือก ให้ผู้หญิงคนหนึ่งได้มาเรียนรู้เรื่องราวใหม่ๆจากคนอื่น และจากการทำงานเป็นกลุ่ม แม้ว่าจะยังไม่พร้อมที่จะต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยหรือความเป็นธรรมใดๆก็ตาม การตื่นตัวของผู้หญิงแต่ละคน การมีจิตสำนึกที่จะก้าวพ้นทรรศนะแบบเก่าๆในเบื้องต้น จึงเป็นการสร้างพลังให้ผู้หญิงคนนั้นเอง เพราะจะไม่มีความหมายและประโยชน์อันใดที่จะไปต่อสู้เพื่อคนอื่น โดยที่เธอไม่เข้าใจเรื่องราวของตนเอง และไม่อาจก้าวพ้นข้อจำกัดที่อยู่ในความคิดของตนเอง เพื่อไปสู่การพัฒนาที่ยั่งยืน ในการจะตัดสินใจของเธอเองในอนาคต
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น