มุมมองเรื่องผู้หญิงของนักสังคมนิยม : ศรีบูรพา จิตร ภูมิศักดิ์ และ ซีโมนเดอโบวัวร์
นับแต่คริสตศตวรรษที่ 18 และ 19 ที่เริ่มเข้าสู่ยุคอุตสาหกรรมและการผลิตแบบทุนนิยม ผู้หญิงถูกผลักดันจากชนบทเข้าสู่ระบบการผลิตและภาคบริการ ถูกกดขี่ขูดรีดแรงงานราคาถูก ถูกกีดกันจากการมีสิทธิเลือกตั้ง ถูกข่มเหงทางเพศในภาวะสงคราม และการถูกขูดรีดทางเพศในการค้าหญิงและเด็ก ประสบปัญหาสุขภาพอนามัย ขาดสิทธิในการศึกษา และสิทธิตามกฎหมายต่างๆ ที่ไม่เท่าเทียมกับผู้ชาย ซึ่งการที่ผู้หญิงมีโอกาสทำงานนอกบ้าน มีเงื่อนไขการรวมกลุ่ม บางส่วนมีโอกาสได้ศึกษาและทำงานระดับสูงขึ้น ทำให้ก่อเกิดขบวนการรณรงค์เพื่อสิทธิผู้หญิง ที่มีหลากหลายเนื้อหาและพัฒนารูปแบบต่าง ๆ อย่างกว้างขวาง รวมทั้งพัฒนาศักยภาพของผู้หญิงเพื่อการมีส่วนมีเสียงในการร่วมตัดสินใจในกฎหมายและ นโยบายภาครัฐ เพื่อเป็นหลักประกันสิทธิเสมอภาค และเสรีภาพของผู้หญิงทั้งมวลอย่างแท้จริง...
ฉันย้อนกลับไปอ่านกลุ่มงานเขียนที่มีแนวคิดสังคมนิยมชัดเจน และมีอิทธิพลต่อกลุ่มเฟมินิสต์ 14 ตุลา พบว่าในประเด็นการต่อสู้ทางชนชั้นและความเป็นธรรมมีอยู่จำนวนมาก โดยเฉพาะงานเขียนรุ่นเก่าช่วง พ.ศ.2500 ที่ได้รับการรื้อฟื้นมาตีพิมพ์ใหม่ช่วงก่อนและหลัง 14 ตุลา โดยถือเป็นแบบอย่างแห่งวีรชนนักต่อสู้เผด็จการ งานที่เกี่ยวเนื่องกับประเด็นผู้หญิงมีไม่มากนักแต่ก็มีอิทธิพลในยุคนั้นและช่วยปลุกเร้าใจให้ผู้หญิงตระหนักถึงพลังของตนเอง และภาระหน้าที่ในการต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยและความเป็นธรรมในสังคม รวมทั้งการปลดปล่อยผู้หญิง [1]
ที่เด่นๆ เช่น
กุหลาบ สายประดิษฐ์ ใน กำเนิดครอบครัวของมนุษยชาติและระเบียบสังคมของมนุษย์ (กุหลาบ: 2523 ) และปาฐกถาเรื่อง “ฐานะของสตรีตามที่เป็นมาในประวัติศาสตร์” เมื่อ 7 มิถุนายน 2495 ณ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์และการเมือง( กุหลาบ: 2519 ) ที่กุหลาบอิงจากการวิเคราะห์ของเองเกลส์เป็นหลัก ในปาฐกถาได้คัดค้านคำอ้างที่ว่า สตรีได้ตกเป็นทาสของบุรุษมาตั้งแต่เริ่มมีสังคมมนุษย์ โดยชี้ว่าในยุคที่มนุษย์เป็นคนป่าและในยุคที่เป็นอนารยชนในตอนกลาง สตรีดำรงฐานะที่เป็นอิสระและยังได้รับความยกย่องอย่างสูงจากบุรุษ( น.18) และเมื่อมีการเลิกล้างสิทธิทางมารดา ก่อตั้งสิทธิทางบิดาขึ้นแทนที่ เป็นผลให้ผู้ชายได้เข้าถืออำนาจการปกครองในบ้าน ผู้หญิงได้รับการปฏิบัติประหนึ่งเป็นทาสสำหรับบำเรอราคะของผู้ชาย(น.30) และ
ควรเป็นที่เข้าใจว่า การที่ผู้ชายคนหนึ่งรวบรวมเอาผู้หญิงจำนวนหนึ่ง มารวมไว้เป็น ภรรยาหรือนางบำเรอของตนโดยเฉพาะนั้น มนุษย์จำพวกคนป่าหาได้กระทำไม่ สิ่งที่มนุษย์คนป่าปฏิบัติต่อกันนั้นคือ ความเสมอภาคระหว่างชายหญิงที่จะมีภรรยาและสามีพร้อมกันได้หลายๆคน (น.33)
กุหลาบวิจารณ์สถานภาพที่ตกต่ำของผู้หญิงในสังคมไทย และเรียกร้องให้สังคมยอมรับความเท่าเทียมของชายและหญิง วิพากษ์วิจารณ์ทัศนคติของสังคมที่มีต่อผู้หญิง เช่น เป็นเพศอ่อนแอ เป็นช้างเท้าหลัง และการยอมรับให้ชายมีภรรยาหลายคนได้ ทั้งนี้กุหลาบเสนอให้แก้ไขความไม่เป็นธรรมที่ต้นเหตุคือการครอบครองอำนาจทางเศรษฐกิจของบุรุษไว้เพียงผู้เดียวโดยเน้นว่า
’ตราบใดที่สตรีไม่พยายามจะยืนขึ้นด้วยเท้าของตนเอง และไม่คิดจะพึ่งตนเองด้วย
การทำงานด้วยความสำนึกอันแน่วแน่แล้ว ก็เป็นการไร้ประโยชน์ที่สตรีจะเรียกร้อง
ความเสมอภาคระหว่างเพศ การเรียกร้องที่ปราศจากความสำนึกในอันจะพึ่งกำลัง
ของตนเอง ในอันจะสลัดความรู้สึกต่ำต้อยออกไปให้หมดนั้น หากจะได้มาซึ่งความ
เสมอภาค ก็จะเป็นความเสมอภาคที่ผู้ชายเขาจะเขียนไว้ให้เธอแต่บนแผ่นกระดาษ
เท่านั้น’ (น.52)และ ‘ ท่านสตรีทั้งหลาย จงออกมายืนเรียงเคียงไหล่กับบุรุษเถิด จง
ก้าวออกมาจากฐานะของช้างเท้าหลัง มาเป็นเท้าหนึ่งของสองเท้าหน้าด้วยกันเถิด
ในส่วนของ จิตร ภูมิศักดิ์ ที่คนเดือนตุลาและประชาชนจำนวนมาก ผูกพันและประทับใจในชีวิตการต่อสู้ของเขาอย่างสูง มีงานเขียนเรื่องผู้หญิงจำนวนหนึ่ง ที่ถูกอ้างถึงมากคือ’ อดีต ปัจจุบัน และอนาคตของสตรีไทย’ เมื่อ พ.ศ.2500 ในนามปากกา‘สมชาย ปรีชาเจริญ’ (จิตร :2519) โดยวิเคราะห์ถึงความสัมพันธ์ระหว่างสถานภาพของผู้หญิง กับวิถีการผลิตที่เปลี่ยนไปในแต่ละยุค และแสดงให้เห็นว่าสถานภาพที่ตกต่ำของผู้หญิงไทยเกิดจากการผูกขาดอำนาจทางเศรษฐกิจ การเมือง การควบคุมทางสังคมของคนเพียงกลุ่มเดียว ที่โดดเด่นคือ การวิพากษ์วิจารณ์ระบอบศักดินา ที่เหยียบย่ำและลดคุณค่าผู้หญิงเป็นเพียงวัตถุบำบัดความใคร่และทาสรับใช้ในเรือนที่ซื่อสัตย์ของชาย เห็นผู้หญิงเป็นเพียงดอกไม้และเครื่องประดับบารมี โดยวิจารณ์วรรณคดียุคศักดินาที่มอมเมาผู้หญิงให้รับใช้สามี และอดทนต่อการทารุณกรรมใดๆ เพราะต้องพึ่งพิงสามี จึงเป็นการรัดรึงด้วยโซ่ตรวนแห่งประเพณีถอยหลังเข้าคลอง
จิตรยกย่องการต่อสู้ที่คัดค้านการคลุมถุงชนในยุคศักดินา เล่าอย่างละเอียดถึงอำแดงเหมือน ที่จิตรถือเป็นวีรสตรีน้อยๆ ที่การต่อสู้ของเธอได้ช่วยยกระดับฐานะของหญิงไทยทั้งมวล...
อำแดงเหมือนเกิดที่แขวงจังหวัดนนทบุรี เมื่อพ.ศ.2308 มีอายุ 22ปี ถูกพ่อแม่บังคับให้แต่งงานกับนายภู จึงหนีไปอยู่กับชายคนรักชื่อนายริด เจ้าเมืองและตุลาการพยายามให้เธอยอมรับว่าเป็นภรรยาของนายภูแล้ว เพื่อจะตัดสินให้นายริดแพ้ความถือเป็นชายชู้ เมื่อเธอไม่ยินยอมก็ถูกคุมขังไว้ในตารางเสมือนนักโทษและให้ทำงานหนัก เธอหลบหนีเข้ามาถึงกรุงเทพฯแล้วทำฎีการ้องเรียนขอความเป็นธรรม รัชกาลที่ 4 จึงได้ตัดสินให้อำแดงเหมือนสมรสกับนายริด... “เพราะหญิงนั้นอายุ 20 เศษแล้ว ควรจะเลือกหาผัวตามใจชอบตัวได้” (น.108) และต่อมา รัชกาลที่ 4 ได้ออกพระราชบัญญัติใหม่ให้ชายหญิงเลือกคู่ครองได้ตามความพอใจ (น.109)
จิตรวิเคราะห์ว่า จากที่ให้มีการเลือกคู่ครองโดยสมัครใจ ผู้หญิงยังถูกกดขี่ทั้งทางชนชั้นและทางเพศ โดยถ้าหญิงเป็นคนในตระกูลต่ำ ชายเป็นคนในตระกูลสูง เมื่อเกิดการลักพาให้ตุลาการตัดสินตามความสมัครใจของชายหญิงนั้น แต่ถ้าหากเป็นหญิงในตระกูลสูง ชายตระกูลต่ำ ให้สุดแท้แต่พ่อแม่ของหญิงเป็นเกณฑ์
นอกจากนี้ รัชกาลที่ 4 ได้แก้ไขกฎหมายหย่า จากเดิมชายเท่านั้นมีสิทธิฟ้องหย่าหญิงได้หญิงไม่มีสิทธิฟ้องหย่าชายโดยเด็ดขาด แต่จิตรกล่าวถึงการตัดสินคดีหย่าว่า ยังคงตั้งบนพื้นฐานของการกดขี่ทั้งทางชนชั้นและทางเพศเช่นเดิม เช่น การแบ่งลูก ลูกชายให้เป็นสมบัติของแม่ ลูกหญิงให้เป็นสมบัติของพ่อ แต่ใช้เฉพาะไพร่และข้าราชการที่มีศักดินาต่ำกว่า 400 ไร่เท่านั้น ถ้าพ่อมีศักดินาสูงกว่า 400 ไร่แล้ว ให้ถือความประสงค์ของพ่อเป็นเกณฑ์ แต่ถ้าหากหญิงบรรดาศักดิ์สูงได้ผัวไพร่ เมื่อมีลูกด้วยกัน ลูกจะต้องเป็นสมบัติของหญิงทั้งหมด (น.110-111)
จิตรชี้ว่า หญิงไทยมิได้อ่อนแอ ไร้สมรรถภาพ แต่การศึกษาอบรมที่ได้รับ มีแต่สอนว่าเป็นเพศอ่อนแอ ต้องพึ่งพิงสามี และสอนให้ไปเป็นทาสรับใช้ในครัวเรือนเท่านั้น ในยุคทุนนิยมกึ่งศักดินา จิตรมองว่าชนบทที่เริ่มล้มละลาย ทำให้หญิงชายต้องมาขายแรงงาน แต่ไม่มีงานเพียงพอ ต้องกลายเป็นโสเภณี หรือยอมเป็นเมียเก็บ และบางส่วนเข้าสู่เวทีประกวดนางงามที่กลายเป็นอีกแหล่งหนึ่งของการถูกกว้านเข้าฮาเร็มโดยผู้มีอำนาจ
ภารกิจทางประวัติศาสตร์ที่ จิตร เรียกร้องต่อหญิงไทยมีสองส่วน (น.147-148)คือ
- สิทธิอันชอบธรรมในชีวิตสมรสอิสระ เช่น สิทธิในการเลือกคู่ครอง สามีภรรยามีสิทธิเท่าเทียมกันในชีวิตครอบครัว และมีสิทธิร้องขอหย่าขาดจากกัน สิทธิในการทำนิติกรรมเป็นสิทธิร่วมกัน เมื่อหย่าร้างต้องจัดสินสมรสเพื่อดูแลบุตรภรรยา สิทธิในการมีคู่ครองระบอบผัวเดียวเมียเดียวต้องได้รับการประกันอย่างเคร่งครัด ชายไม่มีสิทธิมีนางบำเรอ
- สิทธิในการทำงาน เช่น สิทธิในการมีงานทำและเลือกประเภทงานอย่างอิสระ สิทธิในการได้ค่าตอบแทนเท่ากับชายในผลงานที่เท่ากัน และสิทธิในการเลื่อนตำแหน่งงานเท่าเทียมชาย สิทธิในการได้รับบริการทางสังคมทั้งมวลเท่าเทียมชาย สิทธิชาวนาสตรีที่จะได้เป็นเจ้าของผืนนาที่ตนไถ และที่สำคัญคือ สิทธิในการได้รับการพิทักษ์แม่และเด็กจากรัฐ ได้รับเงินอุดหนุนเพียงพอทั้งก่อนและหลังการคลอดบุตร ได้รับการดูแลจากโรงพยาบาลทั้งเมืองและชนบทอย่างทั่วถึง
เป็นที่น่าสังเกตว่า ข้อเรียกร้องของจิตรมีทั้งแนวคิดแบบสังคมนิยม สอดคล้องกับสตรีนิยมเสรีนิยม รวมทั้งนักคิดสตรีนิยมอื่นๆในหลายประเด็น นอกจากนี้ จิตรได้พูดถึงลักษณะพิเศษของผู้หญิงที่ต่างจากชายและเป็นพื้นฐานที่ดีในการต่อสู้ของผู้หญิง เพื่อความก้าวหน้าและความผาสุกของชีวิตทั้งหลาย ทั้งของเพศหญิง ของลูก และของมวลมนุษยชาติ เช่น ความละเอียดอ่อน พลังของความอดทนต่อความทุกข์ยาก ความรัก ความผูกพันแม่ลูก ซึ่งความรักที่มีต่อเด็กทำให้สตรีทั้งมวลสนใจพิทักษ์รักษาชีวิตและสิทธิของเด็ก และในการคัดค้านสงคราม พิทักษ์สันติภาพ
สุชีลา ตันชัยนันท์ วิเคราะห์ ‘ผู้หญิงในทัศนะของจิตร ภูมิศักดิ์’ ว่า จิตรได้นำแนวการศึกษาของมาร์กซ มาใช้ประกอบการวิเคราะห์ของประวัติศาสตร์ไทยอย่างจริงจัง รวมทั้งงานศึกษาด้านผู้หญิงไทยด้วย โดยเน้นที่การวิเคราะห์บทความ ‘อดีต ปัจจุบัน และอนาคตของสังคมไทย’ของจิตรว่า เป็นการอธิบายสถานภาพที่ต่ำของหญิงไทย โดยสัมพันธ์กับวิถีการผลิตที่เปลี่ยนแปลงไปแต่ละยุค และเกิดจากการผูกขาดอำนาจทางเศรษฐกิจ การเมือง และการควบคุมทางสังคมของคนเพียงกลุ่มเดียว ทำให้เกิดการกดขี่ทางชนชั้นและการกดขี่ทางเพศ โดยระบอบศักดินากำหนดให้ผู้หญิงเป็นวัตถุบำบัดความใคร่และทาสรับใช้ที่ซื่อสัตย์ ส่วนระบอบทุนนิยมกำหนดให้ผู้หญิงเป็นสินค้า
สุชีลา เชื่อมโยงถึงข้อวิพากษ์วิจารณ์ของกลุ่มสตรีนิยมต่อแนวการศึกษาของลัทธิมาร์กซว่า มีขีดจำกัดในการอธิบายปัญหาของผู้หญิง ซึ่งข้อเขียนของจิตรก็มีข้อจำกัดเช่นนั้นด้วย โดยที่จำกัดอยู่แต่ในเรื่องของวิถีการผลิต ยังขาดการพิจารณาและอธิบายให้เห็นถึงกลไกการทำงานและความสัมพันธ์ ระหว่างวิถีการผลิตกับระบบชายเป็นใหญ่ว่ามีส่วนเกื้อหนุนกันอย่างไร นอกจากนี้จิตรยังมีความไม่ชัดเจนในการอธิบายปัญหาเพศธรรม (sexuality) ว่าเหตุใดทั้งศักดินาและทุนนิยมจึงต้องควบคุมเพศและร่างกายของผู้หญิง (สุชีลา : 2531)
ฉันยังจำความประทับใจจากนวนิยายเรื่อง “แม่”ของแม็กซิม กอร์กี้ ซึ่งกุหลาบแปลได้เพียงภาค 1 จากในคุก และต่อมา จิตร ภูมิศักดิ์ ได้แปลเรื่องแม่นี้จบทั้งสองภาค โดยสะท้อนภาพผู้หญิงที่ถูกกดขี่ และลุกขึ้นมาต่อสู้อย่างกล้าหาญ ซึ่งถูกนำมาเผยแพร่ช่วง 14 ตุลา และยอมรับกันว่า เป็นวรรณกรรมอมตะที่ปลุกเร้าใจทั้งหญิงและชายอย่างมาก
เฟมินิสต์ที่น่าสนใจอย่างยิ่ง คือซีโมน เดอ โบวัวร์ ที่มักถูกอ้างอิงจากขบวนเฟมินิสต์ทั่วโลกจากหนังสือเพศที่สองว่า ‘เธอไม่ได้เกิดมาเป็นผู้หญิง แต่ถูกทำให้เป็นผู้หญิง’ ซึ่งมีบทสัมภาษณ์หลายตอนในหนังสือ ‘ซีโมน เดอ โบวัวร์ ผู้หญิงที่ขบถ’ (อมรสิริ - กนิษฐ์:2534 ) ที่เชื่อมั่นถึงถึงความสัมพันธ์ระหว่างการต่อสู้ทางชนชั้น กับการต่อสู้ทางเพศ
ต่อคำถามที่ว่า กระแสเฟมินิสซึ่มกำลังฮิต จนขบวนการสันติภาพในเยอรมันตะวันตกชูคำขวัญ ‘แม่ผู้พิทักษ์ชีวิต’ ‘ผู้หญิงมีธรรมชาติรักสันติภาพมากกว่าผู้ชาย’ ซีโมนตอบว่า :
‘เหลวไหล เพราะว่าผู้หญิงต้องต่อสู้เพื่อสันติภาพในฐานะที่เป็นมนุษยชาติ ไม่ใช่เพราะเป็นผู้หญิง เหตุผลแบบนี้ไร้สาระสิ้นดี .. . ถ้าผู้หญิงยังคงติดอยู่กับเรื่องที่ว่า ผู้หญิงมีคุณสมบัติในการเลี้ยงดูลูก หรือว่ามีคุณสมบัติพิเศษเหนือกว่าชาย ซึ่งเป็นการสร้างความเชื่อที่ผิดๆต่อบทบาทของผู้หญิง’ (น.175-176)
ทำไมเฟมินิสต์ไม่ยอมรับผู้ชายให้เข้าร่วมอยู่ภายในกลุ่ม? เธอมีมุมมองว่า :
‘แนวโน้มของฉันก็คือ ต้องการเชื่อมโยงการปลดปล่อยทางเพศให้เข้ากับการต่อสู้ทางชนชั้น ฉันหวังว่าการต่อสู้ของผู้หญิงในรูปแบบที่เป็นอิสระไม่ขึ้นกับใครนั้น จะสัมพันธ์กับการต่อสู้ที่พวกผู้หญิงต้องทำร่วมกับผู้ชาย.’ (น.79)
โดยเธอเน้นว่าควรเป็นเพียงขั้นตอนผ่าน เพราะผู้ชายชอบออกคำสั่งด้วยความเคยชินและผู้หญิงยังมักคิดว่าตนเองด้อยกว่า ฉะนั้นจึงทำเพื่อไม่ให้ผู้หญิงต้องมัวพะวงกับคำวิพากษ์วิจารณ์และทำให้การแลกเปลี่ยนความคิดในกลุ่มผู้หญิงมีความจริงใจและตรงไปตรงมา เธอย้ำว่า
‘ เราต้องสู้ที่ระบบ และขณะเดียวกันผู้หญิงก็ต้องไม่ไว้ใจผู้ชาย แม้จะไม่ถึงกับต้องเป็น
ศัตรูด้วย ก็จะต้องระมัดระวังเพื่อที่ผู้ชายจะได้ไม่เข้ามาก้าวก่ายกิจกรรมภายในกลุ่ม
หรือเข้ามามีอิทธิพลต่อความคิดของเรา... แม้แต่ผู้ชายที่เป็นเฟมินิสต์เราก็ต้องไม่ไว้ใจ
และต้องคอยระมัดระวังกับความคิดที่มีชายเป็นใหญ่ พวกเราไม่ต้องการรับความ
เสมอภาคที่คนอื่นยื่นมาให้ แต่เราต้องการได้มันมาด้วยมือของเราเอง’ (น.80)
นอกจากนี้ซีโมนย้ำวิธีปลดปล่อยผู้หญิง คือ ผู้หญิงต้องทำงานนอกบ้าน เพราะเป็นเงื่อนไขแรกของความเป็นอิสระ และ ต้องให้ผู้หญิงมีอิสระในการตัดสินใจที่จะมีลูก สนับสนุนให้มีการคุมกำเนิด และให้ผู้หญิงที่ไม่ปรารถนามีลูกทำแท้งได้ ช่วยแบกรับภาระการเป็นแม่ของผู้หญิง ด้วยการสนับสนุนให้มีสถานเลี้ยงเด็ก
[1]กุหลาบ สายประดิษฐ์, ฐานะของสตรีตามที่เป็นมาในประวัติศาสตร์’ ,2519 สมชาย ปรีชาเจริญ(นามแฝงของจิตร ภูมิศักดิ์), ‘อดีต ปัจจุบัน และอนาคตของสตรีไทย’, พิมพ์ครั้งที่ 1 สารเสรี 2501,พิมพ์ครั้งที่สอง บทวิเคราะห์วรรณกรรมยุคศักดินาของจิตร ภูมิศักดิ์ สำนักพิมพ์แสงตะวัน 2517, พิมพ์ครั้งที่สาม สำนักพิมพ์แสงตะวัน 2518 และต่อมาพิมพ์ครั้งที่ 4 ใน ประวัติศาสตร์สตรีไทย ชมรมหนังสือแสงดาว 2522 และอ่านบทวิเคราะห์เพิ่มเติมใน สุชีลา ตันชัยนันท์, ’ผู้หญิงในทัศนะของจิตร ภูมิศักดิ์’ ในวารสารเศรษฐศาสตร์การเมือง, ตุลาคม 2531
https://www.facebook.com/photo.php?fbid=205622969476966&set=a.205622512810345.49912.100000877944482&type=3&theater
https://www.facebook.com/photo.php?fbid=205622969476966&set=a.205622512810345.49912.100000877944482&type=3&theater
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น