มาหลายคน แต่มีภารกิจไม่ได้อยู่ร่วม
วันนี้มีเวลา ๑๐ นาที จึงได้นำเสนอบางประเด็นสำคัญ เช่น
๑)รธน.ก่อความสับสนและปัญหาเรื่อง"สิทธิพลเมือง" "สิทธิมนุษยชน" "สิทธิบุคคล" ทั้งที่ควรใช้สิทธิเสรีภาพของบุคคล เพราะพลเมืองจำกัดเพียงผู้มีสัญชาติไทย และนำหลักสิทธิเสรีภาพไปจำกัดไว้ให้แคบลง เช่น สิทธิการศึกษา สิทธิสาธารณสุข แม้แต่สิทธิในค่าจ้างที่เป็นธรรม ความปลอดภัยในการทำงาน สิทธิมารดาก่อนและหลังคลอด.. สิทธิการร้องทุกข์ ..?ทั้งที่เป็นสิทธิมนุษยชนขั้นพื้นฐานของคน รวมถึงกลุ่มชาติพันธ์และชนเผ่าพื้นเมืองที่รอการพิสูจน์สัญชาติ และควรระบุด้วยว่า สังคมไทยเป็นพหุเชื้อชาติ จนถึงการคุ้มครองแรงงานข้ามชาติตามมาตรฐานแรงงาน
๒) ความกลัวและกังวลต่อนักการเมือง พรรคการเมือง การเลือกตั้ง..จนเอียงมากไป .และไม่มีหลักการที่ควรเป็น เช่น ..
(๑)ให้ ส.ส.ต้องสังกัดพรรค แต่ให้อิสระลงมติได้ แม้พรรคให้ออก แต่ก็ยังเป็น ส.ส.ได้ ... เมื่อให้มีบัญชีรายชื่อตามภาค ก็ให้ปชช.เลือกเป็นรายคนไม่เรียงลำดับ (โอเพ่นลิสต์) ทำให้การเลือกพรรคการเมืองที่ควรต้องแข่งขันกันด้านนโยบาย บุคคลดี/ เด่น กลายเป็นความลักลั่น ไม่ควรต้องมีบัญชีรายชื่อเลยดีกว่า และควรให้ ส.ส.ไม่ต้องสังกัดพรรค
นอกจากนี้ยังให้มี"กลุ่มการเมือง"ส่งผู้สมัคร ส.ส.ได้เช่นเดียวกับพรรค ทั้งที่ควรส่งเสริมการพัฒนาพรรคการเมืองให้ดี ส่วนใคร /กลุ่มไหนอยากลงส.ส.ก็สมัครได้ กลุ่มการเมือง/กลุ่มผลประโยชน์ต่างๆควรมีหน้าที่ตรวจสอบในฐานะปชช.
(๒)การมี ส.ว.เดิม เพื่อตรวจสอบ ถ่วงดุล เลือกและถอดถอนองค์กรอิสระต่างๆ รธน.๔๐ จึงให้ยึดโยงปชช. ด้วยการมาจากการเลือกตั้ง ..ครั้งนี้เพิ่มอำนาจ และ เสนอกม.ได้ มี ๒๐๐ คน ...แต่ให้มาทางอ้อม จากกลุ่มอาชีพ แต่สัดส่วนไม่ถูกต้อง เกษตรกร แรงงาน ...ให้ ๓๐ คน แต่ปลัดกระทรวง ผบ.เหล่าทัพ..๒๐ คน สรรหาผู้ทรงคุณวุฒิ ๕๘ คน..และที่ร้ายที่สุดคือมีส.ว.จังหวัดละ ๑ คน แต่ให้มีกก.สรรหากลั่นกรองให้เหลือ ๑๐ คน แล้วค่อยให้ปชช.เลือก??? ไม่มี ส.ว.เลยดีไหม
ปัญหาองค์กรอิสระจากรธน.๕๐ คือที่มาของกก.สรรหา ที่คับแคบ ไม่ยึดโยงกับปชช. ต้องแก้ที่นี่ แต่ยังไม่ได้แก้ ..แถมไปยุบกรรมการสิทธิ ฯรวมกับผู้ตรวจการแผ่นดิน เสียหายต่อปชช.และหลักการปกป้องคุ้มครองสิทธิมนุษยชน...อีกทั้งไปเพิ่มสมัชชาคุณธรรมแห่งชาติ ให้มาเป็นกก.สรรหา และหน้าที่มากมาย?? รวมทั้งมีอีกหลายองค์กรเพิ่มขึ้น
(๓)การมีส่วนร่วมของปชช.ในรธน.๕๐ มีหลายมิติ ทุกระดับ(ม.๘๗) และกำหนดชัดเจนว่า..ต้องมีสัดส่วนหญิงชายใกล้เคียงกัน /แม้แต่ ส.ว.สรรหาและบัญชีรายชื่อของพรรคก็กำหนดความเสมอภาคระหว่างเพศ ...แต่ รธน.นี้ตัดทิ้ง มีเรื่องบัญชีรายชื่อของพรรค ที่กำหนดต้องมีเพศหนึ่งไม่น้อยกว่า ๑ ใน ๓ แต่พรรคไม่ต้องรับผิดชอบเรื่องการเรียงลำดับที่แสดงเจตจำนงทางการเมือง เพราะปชช.เลือกรายคนได้
(๔)การปฏิรูปเป็นเรื่องระยะยาว ต้องทำบนฐานความตื่นตัวเข้มแข็งของปชช. ไม่มียุติง่ายๆ ดังนั้น สภาปฏิรูปวางทิศทางไว้ก็พอแล้ว...จึงไม่ควรต้องมีสภาปฏิรูป และกก.ขับเคลื่อนปฏิรูป ต่อเนื่อง หลังรธน.ไปอีก ๕ ปี
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น