วันอาทิตย์ที่ 15 มีนาคม พ.ศ. 2563
"แม่" กับชีวิตสหายในป่า
    เมื่อความเป็นจริงของชีวิตต้องมีความรักและครอบครัวใหม่ๆเกิดขึ้น    ท่ามกลางการสู้รบ อันยืดเยื้อยาวนาน     ทำให้ในป่าต้องมีนโยบายและการจัดการต่อเรื่องนี้อย่างละเอียดอ่อน    โดยปกติในป่าจะเรียกร้องนโยบายสามช้า    คือ..ถ้ายังไม่มีความรัก  ก็อย่าเพิ่งมี    ถ้ามีแล้ว  
ก็อย่าเพิ่งแต่งงาน 
ถ้าแต่งแล้วก็อย่าเพิ่งมีลูก...แต่ไม่ใช่การห้ามอย่างเข้มงวด  
เป็นเพียงคติเตือนใจในสถานการณ์สู้รบที่ทุกคนต่างตระหนักดี   นั่นคือ 
เน้นการรณรงค์ด้านจิตสำนึกของแต่ละคนเป็นด้านหลักหรือปัจจัยภายใน  
ในขณะที่ถือปัจจัยภายนอกเป็นเงื่อนไขสำคัญเช่นกัน   
โดยเฉพาะอย่างยิ่งนโยบายและท่าทีของฝ่ายนำและพรรคฯ   
                        การมีลูกเป็นเรื่องใหญ่และยุ่งยากที่สุดในการจัดการ    
สหายชาวนารุ่นเก่าตัดสินใจเด็ดเดี่ยวเมื่อไปคลอดในจุดที่ปลอดภัยแล้ว   ก็ส่งลูกไปฝากญาติพี่น้องกระทั่งมอบให้เป็นลูกของญาติไปเลยหลายๆคน   เช่น แม่สนิท   ป้าทิพย์   
บางรายไม่สะดวกที่จะฝากญาติก็ส่งไปให้สายจัดตั้งในเมืองเลี้ยงให้  เช่น ส.เรียน    ต่อมาเมื่อมีแนวหลังในลาวและจีน  ผู้เฒ่า 
เด็กๆ  คนพิการ 
จำนวนหนึ่งจึงถูกส่งไปเรียนหนังสือและฝึกงานต่างๆที่นั่น  ทำให้ในป่าไม่พะรุงพะรังมากนัก แต่ก็ยังมีผู้เฒ่าที่แข็งแรงทำงานมวลชนอยู่ไม่น้อย
    มีบางรายที่มีปัญหาสุขภาพ เช่น  ส.นันท์ อดีตผู้กองการเมืองกองทหารหญิง38  ที่ฉันเคยอยู่ด้วย 
เป็นพี่สาวใหญ่และที่ปรึกษาสำคัญคนหนึ่งของสหายหญิงในป่า      เมื่อแต่งงานกับส.เจน   
ซึ่งเป็นคนในเมืองแต่เข้าป่ามายาวนานแล้วเช่นกัน 
อายุที่มากขึ้นเรื่อยๆทำให้ทั้งสองคนตัดสินใจจะมีลูก    แต่ส.นันท์ 
แพ้ท้องอย่างหนักมาก  
จนในที่สุดต้องถูกหามออกไปรักษาและคลอดในเมือง 
ส.พร้อม   พยาบาลที่เข้ามาพร้อมกับส.วิรัช   ซึ่งเข้ามาเป็นหมอใหญ่เขตภูซางหลังจากหมอพจน์ย้ายไป  ปกติร่างกายไม่แข็งแรงอยู่แล้ว  
แต่ก็อดทนและพยายามปรับตัวอย่างเต็มที่ในป่า     เคยป่วยหนักเกือบไม่รอดหลังศึกขึ้นภูในกลางปี
2523   ส.พร้อมตั้งครรภ์ 
จึงขออนุมัติจัดตั้งไปคลอดในเมืองเพราะสุขภาพไม่ดีมาก    โชคดีที่ส.พร้อมคลอดได้อย่างปลอดภัย  เนื่องจากตกเลือดมาก    การผ่าตัดพบว่ารกเกาะต่ำปิดปากมดลูกสนิท     หมอวิรัชบันทึกไว้ว่า   ถ้าคลอดในป่าคงเสียชีวิตอย่างแน่นอน..
จาก  ปาฐกถารจิต บุรี  ครั้งที่ 13  เรื่อง ‘เส้นทางชีวิตของศิษย์เก่าแพทย์รามาธิบดีคนหนึ่ง’   โดย รองศาสตราจารย์ วีระศักดิ์  จงสู่วิวัฒน์วงศ์,  2 พ.ค.2545
(สหายหมอวิรัช เขตภูซาง)  ซึ่งมีตอนหนึ่งเล่าว่า... 
   “กลางฤดูฝนปี 2522  ภรรยาผมเป็นไข้ครั้งที่รุนแรงที่สุดในชีวิตของเขา  ไข้ลอยอย่างเดียว  ตรวจร่างกายไม่พบอะไรอย่างอื่นผิดปรกติเลย  ตลอดระยะเวลา 7  วันของการรักษา....  อาการของเขาหนักลงเรื่อยๆ  
จากปัญหาของการติดเชื้อและฮีโมโกลบินเอ็ชเดิมที่มีอยู่   ในวันที่เจ็ดของไข้   ตาเริ่มพร่ามัว  หายใจจมูกบาน 
คำพูดสุดท้ายในวันนั้นคือ 
ฉันบอกคุณแล้วว่าคุณเอาฉันเข้าป่า   
ฉันต้องตาย   แต่ฉันรักคุณ  ฉันจึงตามคุณเข้ามา..(น.33)
จากเขตจรยุทธภูซาง เชื่อมฐานที่มั่นภูร่องกล้า/เหนือ(๑)
ตามรอยสหาย..จากเขตจรยุทธภูซาง 
เชื่อมฐานที่มั่นภูร่องกล้า/เหนือ (๑)
สถูปภูซาง จ.หนองบัวลำภู
ในยุคเผด็จการสฤษดิ์/ถนอม ปราบปรามกรรมกร ปัญญาชน นักคิดนักเขียนทั่วประเทศ ข้อหาคอมมิวนิสต์ ทำให้นักสู้เพื่อประชาธิปไตยและความเป็นธรรมถูกฆ่า ถูกจับกุมคุมขัง จำนวนมาก
มีผลให้นักต่อสู้จำนวนไม่น้อยต้องไปหลบภัยในชนบท และการปราบปรามอย่างหนักต่อเนื่องและเหวี่ยงแห โหดร้าย ทำให้ชาวบ้านต้องหลบภัยเข้าป่าจำนวนมาก รวมทั้งเขตงานอุดรธานี..ที่มาเป็นเขตงานภูซาง ที่มีเขตการเคลื่อนไหวหลายจังหวัด คือ อุดร หนองบัวลำภู เลย ขอนแก่น ชัยภูมิ
ต.โนนทัน อ.เมือง จ.หนองบัวลำภู เป็นจุดบุกเบิกริมทางหลวง
เชื่อมฐานที่มั่นภูร่องกล้า/เหนือ (๑)
สถูปภูซาง จ.หนองบัวลำภู
ในยุคเผด็จการสฤษดิ์/ถนอม ปราบปรามกรรมกร ปัญญาชน นักคิดนักเขียนทั่วประเทศ ข้อหาคอมมิวนิสต์ ทำให้นักสู้เพื่อประชาธิปไตยและความเป็นธรรมถูกฆ่า ถูกจับกุมคุมขัง จำนวนมาก
มีผลให้นักต่อสู้จำนวนไม่น้อยต้องไปหลบภัยในชนบท และการปราบปรามอย่างหนักต่อเนื่องและเหวี่ยงแห โหดร้าย ทำให้ชาวบ้านต้องหลบภัยเข้าป่าจำนวนมาก รวมทั้งเขตงานอุดรธานี..ที่มาเป็นเขตงานภูซาง ที่มีเขตการเคลื่อนไหวหลายจังหวัด คือ อุดร หนองบัวลำภู เลย ขอนแก่น ชัยภูมิ
ต.โนนทัน อ.เมือง จ.หนองบัวลำภู เป็นจุดบุกเบิกริมทางหลวง
สุนี ไชยรส :ภูซางอำไพ: คปก.กับยุทธศาสตร์หลักด้านสวัสดิการสังคม
สุนี ไชยรส :ภูซางอำไพ: คปก.กับยุทธศาสตร์หลักด้านสวัสดิการสังคม: คปก. ..กับยุทธศาสตร์หลักด้านสวัสดิการสังคม    “ลดความเหลื่อมล้ำ  สร้างความเป็นธรรม”                                             ...
สุนี ไชยรส :ภูซางอำไพ: สามประสาน :นักศึกษา กรรมกร ชาวนา หลัง๑๔ ตุลา
สุนี ไชยรส :ภูซางอำไพ: สามประสาน :นักศึกษา กรรมกร ชาวนา หลัง๑๔  ตุลา
                       
วนิดา ตันติวิทยาพิทักษ์ ที่ปรึกษาในการต่อสู้ของกรรมกรฮาร่า ที่ยืดเยื้อและเจ็บปวด สุดท้ายได้ยึดโรงงานมาทำการผลิตเองอยู่ช่วงหนึ่งเป็นประวัติศาสตร์หน้าหนึ่งของกรรมกรไทย ก่อนที่จะถูกจับกุม เธอสรุปบทเรียนว่า...
วนิดา ตันติวิทยาพิทักษ์ ที่ปรึกษาในการต่อสู้ของกรรมกรฮาร่า ที่ยืดเยื้อและเจ็บปวด สุดท้ายได้ยึดโรงงานมาทำการผลิตเองอยู่ช่วงหนึ่งเป็นประวัติศาสตร์หน้าหนึ่งของกรรมกรไทย ก่อนที่จะถูกจับกุม เธอสรุปบทเรียนว่า...
“เป็นนักศึกษาปี 1 เข้าไปก็ทำงานกับมวลชน  ครั้งแรกไปร่วมสไตร๊ค์กับกรรมกรรถเมล์    ตอนชุมนุมเรื่องค่าจ้างขั้นต่ำก็ไปร่วมด้วย  ชาวนาก็มาเรื่องค่าเช่านา  จำได้ว่ามีพี่น้องกรรมกรหรือชาวนาเข้าไปอยู่ในทำเนียบ     ประท้วงกันอยู่ในทำเนียบเลย  ทำกับข้าวในนั้น    ตัวเองก็เข้าไปช่วยชาวบ้านอยู่ในนั้นนั่นแหละ... 
กรรมกรฮาร่าอายุสูงสุดประมาณ 20 ปี  เฉลี่ย 15 ปี ที่สู้เป็นผู้หญิงทั้งหมด   สมัยนั้นไม่ใช่สไตร๊ค์กันได้ง่ายๆ  บางทีนายจ้างก็ให้อันธพาลยกพวกมาเล่นงาน   ส่วนใหญ่การนัดหยุดงานก็จะใช้วิธีปิดเครื่องจักรยึดโรงงานเอาไว้    ไม่ใช่ว่ามาอยู่นอกโรงงาน... กรรมกรฮาร่าเล่าว่า   เวลามีเจ้าหน้าที่มาตรวจคนงานก็จะไปซ่อนในโอ่ง  เพราะอายุมันน้อยผิดกฎหมาย  แล้วก็ทำหน้าที่คนรับใช้ไปในตัว    ขณะที่สินค้าของฮาร่ามีชื่อเสียง   ไปซื้อลิขสิทธิ์มาแล้วก็ขยายโรงงาน...
ฮาร่าทางฝั่งตรอกจันทร์หยุดงานและยึดเครื่องจักรเอาไว้  หยุดงานวันแรก นายจ้างก็เอาอันธพาลเข้าไปตีเลย  คนงานหญิงก็สู้    สไตรค๊ยืดเยื้อ   หลังจาก 3 เดือนมันทนกันไม่ไหวลำบากไม่มีจะกินกันแล้ว เป็นลูกหลานคนจีนส่วนใหญ่   คนจีนที่ยากจนเป็นกรรมกรก็เยอะ   เถ้าแก่ก็เป็นนายทุนมาจากไต้หวัน   มีการคุกคามตลอดเวลา  คนงานผู้หญิงจะต้องถือไม้เฝ้าโรงงานนะ   พอฝ่ายโน้นมาก็ตีกัน   สมัยก่อนกระทิงแดงเห็นมีสไตร๊ค์ที่ไหนก็เอาระเบิดพลาสติกไปขว้าง  ข่มขู่คนงานให้กลัวทุกคืน  ฮาร่าก็โดน   หลังจากนั้นก็ตัดสินใจว่าคนทำงานควรจะได้เป็นเจ้าของปัจจัยการผลิต    ก็เลยยึดโรงงาน...กรรมกรเอาผ้าที่กองอยู่ในโรงงานเยอะๆเย็บเป็นเสื้อผ้ามาขายเลย  คนมาซื้อถึงโรงงานตั้งแต่ตีห้า   เพราะเราขายถูกไง  แต่ก่อนหน้านั้นเราก็ไปติดโปสเตอร์ทั่วเมือง   ประกาศว่าต้นทุนกางเกงฮาร่าไม่กี่สตางค์   ต้นทุนแรงงานยิ่งเหลือตัวหนึ่งตกไม่ถึงห้าสิบตังค์    เพราะฉะนั้นไอ้ที่ขายน่ะขูดรีดทั้งนั้น   เราก็ขายในราคาร้อยกว่าบาท    ขณะที่นายทุนขาย 400-500  บาท   ขายได้เงินมาก็มาแบ่งกันเป็นค่ากับข้าวค่าอะไร  ปรากฏว่าได้มากกว่าค่าแรงขั้นต่ำ   ก็ทำอย่างนี้อยู่ประมาณสองเดือนก็ถูกสลายการชุมนุม”
สุนี ไชยรส กับสถานการณ์สิทธิเสรีภาพปัจจุบัน
https://www.facebook.com/profile.php?id=100000877944482 วันศุกร์ที่ ๑๒ พค. ๖๐ สุนี ไชยรส กับสถานการณ์สิทธิเสรีภาพในสังคมไทยปัจจุบัน
สมัครสมาชิก:
ความคิดเห็น (Atom)




