เมื่อความเป็นจริงของชีวิตต้องมีความรักและครอบครัวใหม่ๆเกิดขึ้น    ท่ามกลางการสู้รบ อันยืดเยื้อยาวนาน     ทำให้ในป่าต้องมีนโยบายและการจัดการต่อเรื่องนี้อย่างละเอียดอ่อน    โดยปกติในป่าจะเรียกร้องนโยบายสามช้า    คือ..ถ้ายังไม่มีความรัก  ก็อย่าเพิ่งมี    ถ้ามีแล้ว  
ก็อย่าเพิ่งแต่งงาน 
ถ้าแต่งแล้วก็อย่าเพิ่งมีลูก...แต่ไม่ใช่การห้ามอย่างเข้มงวด  
เป็นเพียงคติเตือนใจในสถานการณ์สู้รบที่ทุกคนต่างตระหนักดี   นั่นคือ 
เน้นการรณรงค์ด้านจิตสำนึกของแต่ละคนเป็นด้านหลักหรือปัจจัยภายใน  
ในขณะที่ถือปัจจัยภายนอกเป็นเงื่อนไขสำคัญเช่นกัน   
โดยเฉพาะอย่างยิ่งนโยบายและท่าทีของฝ่ายนำและพรรคฯ   
                        การมีลูกเป็นเรื่องใหญ่และยุ่งยากที่สุดในการจัดการ    
สหายชาวนารุ่นเก่าตัดสินใจเด็ดเดี่ยวเมื่อไปคลอดในจุดที่ปลอดภัยแล้ว   ก็ส่งลูกไปฝากญาติพี่น้องกระทั่งมอบให้เป็นลูกของญาติไปเลยหลายๆคน   เช่น แม่สนิท   ป้าทิพย์   
บางรายไม่สะดวกที่จะฝากญาติก็ส่งไปให้สายจัดตั้งในเมืองเลี้ยงให้  เช่น ส.เรียน    ต่อมาเมื่อมีแนวหลังในลาวและจีน  ผู้เฒ่า 
เด็กๆ  คนพิการ 
จำนวนหนึ่งจึงถูกส่งไปเรียนหนังสือและฝึกงานต่างๆที่นั่น  ทำให้ในป่าไม่พะรุงพะรังมากนัก แต่ก็ยังมีผู้เฒ่าที่แข็งแรงทำงานมวลชนอยู่ไม่น้อย
    มีบางรายที่มีปัญหาสุขภาพ เช่น  ส.นันท์ อดีตผู้กองการเมืองกองทหารหญิง38  ที่ฉันเคยอยู่ด้วย 
เป็นพี่สาวใหญ่และที่ปรึกษาสำคัญคนหนึ่งของสหายหญิงในป่า      เมื่อแต่งงานกับส.เจน   
ซึ่งเป็นคนในเมืองแต่เข้าป่ามายาวนานแล้วเช่นกัน 
อายุที่มากขึ้นเรื่อยๆทำให้ทั้งสองคนตัดสินใจจะมีลูก    แต่ส.นันท์ 
แพ้ท้องอย่างหนักมาก  
จนในที่สุดต้องถูกหามออกไปรักษาและคลอดในเมือง 
ส.พร้อม   พยาบาลที่เข้ามาพร้อมกับส.วิรัช   ซึ่งเข้ามาเป็นหมอใหญ่เขตภูซางหลังจากหมอพจน์ย้ายไป  ปกติร่างกายไม่แข็งแรงอยู่แล้ว  
แต่ก็อดทนและพยายามปรับตัวอย่างเต็มที่ในป่า     เคยป่วยหนักเกือบไม่รอดหลังศึกขึ้นภูในกลางปี
2523   ส.พร้อมตั้งครรภ์ 
จึงขออนุมัติจัดตั้งไปคลอดในเมืองเพราะสุขภาพไม่ดีมาก    โชคดีที่ส.พร้อมคลอดได้อย่างปลอดภัย  เนื่องจากตกเลือดมาก    การผ่าตัดพบว่ารกเกาะต่ำปิดปากมดลูกสนิท     หมอวิรัชบันทึกไว้ว่า   ถ้าคลอดในป่าคงเสียชีวิตอย่างแน่นอน..
จาก  ปาฐกถารจิต บุรี  ครั้งที่ 13  เรื่อง ‘เส้นทางชีวิตของศิษย์เก่าแพทย์รามาธิบดีคนหนึ่ง’   โดย รองศาสตราจารย์ วีระศักดิ์  จงสู่วิวัฒน์วงศ์,  2 พ.ค.2545
(สหายหมอวิรัช เขตภูซาง)  ซึ่งมีตอนหนึ่งเล่าว่า... 
   “กลางฤดูฝนปี 2522  ภรรยาผมเป็นไข้ครั้งที่รุนแรงที่สุดในชีวิตของเขา  ไข้ลอยอย่างเดียว  ตรวจร่างกายไม่พบอะไรอย่างอื่นผิดปรกติเลย  ตลอดระยะเวลา 7  วันของการรักษา....  อาการของเขาหนักลงเรื่อยๆ  
จากปัญหาของการติดเชื้อและฮีโมโกลบินเอ็ชเดิมที่มีอยู่   ในวันที่เจ็ดของไข้   ตาเริ่มพร่ามัว  หายใจจมูกบาน 
คำพูดสุดท้ายในวันนั้นคือ 
ฉันบอกคุณแล้วว่าคุณเอาฉันเข้าป่า   
ฉันต้องตาย   แต่ฉันรักคุณ  ฉันจึงตามคุณเข้ามา..(น.33)
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น